พูดกันเสียให้ชัดว่า “พรรคการเมือง” ที่เป็นตัวแทน “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” อ่อนแอลงโดยพร้อมเพรียงกัน จากการห้ำหั่นและตัดคะแนนกันเอง จากการชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็น “สัญลักษณ์ของการปกป้อง” แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ติด “กับดักรัฐธรรมนูญ” เรื่อง เป็นนายกฯได้เพียง 8 ปี

อีกฝ่ายก็ชู “ลุง” ว่าเป็น “ความล้าหลัง” และเป็น “อำนาจพิเศษที่ต้องขจัด” ซึ่งขจัดได้ผ่านการลงคะแนนเลือกตั้ง

ผลที่ออกมาจึงปรากฏว่า “พรรคก้าวไกล” ได้จำนวน สส.เยอะที่สุดจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะ “เมืองหลวงของประเทศ” อย่างกรุงเทพมหานคร ซึ่งเหล่านักวิชาการและนักวิเคราะห์การเมืองเคยเชื่อว่า “เป็นหลักของประชาธิปไตย” ได้กลายเป็นพื้นที่ที่เลือกพรรคก้าวไกล 99.99% เว้นให้ สส.เพื่อไทย 1 คน ที่ชนะพรรคก้าวไกลเพียง 4 คะแนน

กระนั้นก็ตาม พรรคก้าวไกลชนะเพียง “ครึ่งแรก” ของการแข่งขัน

ได้สส.มากที่สุด แต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะเสียงสนับสนุนจาก “สมาชิกรัฐสภา” มีไม่พอ ตามเงื่อนไขที่เสียบไว้ใน “บทเฉพะกาล” ของรัฐธรรมนูญ

พรรคเพื่อไทยเล่นละครสนับสนุนพรรคก้าวไกลจนถึงจุดที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้รับเสียงสนับสนุนไม่พอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี จึงขอสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลเอง และตั้งได้สำเร็จ

ถัดจากนั้นไม่นาน เกิดการ “กลับบ้าน” ของ “นายทักษิณ ชินวัตร” นักโทษเทวดา ที่ได้สิทธิพบปะครอบครัว ขี้ข้าบริวาร และแฟนคลับ ก่อนถูกจับไปส่งศาลและเข้าคุก

นอนคุกไม่ถึงคืน ก็อาการหนักชนิดโรงพยาบาลราชทัณฑ์ดูกระจอกไปในทันตา ไม่มีปัญญา ไม่มีเครื่องมือจะดูแลไหว ต้องไปโรงพยาบาลตำรวจ และอยู่โรงพยาบาลตำรวจ (หรือแอบไปนอนที่บ้าน?) มาจนถึงทุกวันนี้

ปรากฏการณ์ “เพื่อไทย” ได้เป็นรัฐบาล + ทักษิณได้กลับบ้าน และได้รับการลดโทษจาก 8 ปี เหลือปีเดียว แถมไม่ต้องนอนคุก + ท่าทีของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยที่คลายความห้าว มาสู่ความนอบน้อม ถูกตีความว่า ชนชั้นนำของฝ่ายอนุรักษ์นิยมหันมา “ใช้งาน” คนกลุ่มนี้แทนคนกลุ่มเดิมแล้ว หรือที่เรียกกันทั่วไปในพื้นที่ข่าวว่า “ดีลพิเศษ”

พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่บัดนี้ไม่มี “ลุงตู่” ถูกตั้งคำถามว่า มาร่วมรัฐบาลกับพรรคทักษิณทำไม และในอนาคต จะเดินต่อไปอย่างไร เอาคะแนนนิยมมาจากไหน

พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในสภาพมีก็เหมือนไม่มี ให้เขา“กัดกัน” ให้เสร็จเสียก่อน และให้เขามีปัญญาลุกขึ้นมาจาก “นรกขุมลึกสุด” ที่พวกเขาขุดฝังกันเอง ขึ้นมาให้ได้ก่อน

พรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ไม่มีอำนาจรัฐเต็มมือไม่มีอำนาจกองทัพ และไม่มี “อำนาจพิเศษ” ก็กลายเป็นพรรคการเมืองธรรมดาๆ ที่ต้องหาทางสร้างกระแสเพื่อลดภาระทางกระสุน ในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป

พรรคภูมิใจไทย เท่านั้น ที่ดูเหมือนจะเป็นขั้วอนุรักษ์นิยมเดิมที่มีโอกาสรักษาจำนวน สส. ไว้ได้เท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หรืออาจต้องสูญเสียบางส่วนให้แก่พรรคเพื่อไทย

ชั่ง-ตวง-วัด อย่างไร การเลือกตั้งครั้งหน้าก็เป็นการสู้กันระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคก้าวไกล”

ยิ่งหากมีการ “ยุบพรรคก้าวไกล” ด้วยแล้ว จะยิ่งเป็น“คะแนนช่วย” หรือ “คะแนนสงสาร”

ขณะที่พรรคเพื่อไทยนั้น ก็ไม่มีจุดขาย หากไม่ได้ทำนโยบาย “ดิจิทัล วอลเล็ต”

1) ระหว่างที่พรรคก้าวไกลคละคลุ้งไปด้วย “คาวกาม” จากกรณี สก. สส. ถูกร้องเรียนและถูกตรวจสอบเรื่อง “คุกคามทางเพศ” รายแล้วรายเล่า น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุลสส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ฮึด ลุกขึ้นฟัดกับ “เศรษฐา ทวีสิน ในเรื่อง “ดิจิทัล วอลเล็ต”อย่างไม่ลดละ

2) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท ว่า ขณะนี้ความชัดเจนเริ่มปรากฏแล้ว แต่เป็นความชัดเจนที่ไม่มีเรื่องแหล่งที่มาของเงินซึ่งนายกฯเลือกเส้นทางที่ยากที่สุด คือการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เงินกู้ 5 แสนล้าน เพื่อระดมทุนมาแจกในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต แม้วันนี้หลักเกณฑ์จะมีการพูดถึงคนที่รายได้ต่ำกว่า 7 หมื่นบาท

“แต่ท้ายที่สุดอาจไม่มีใครได้เงินจากโครงการนี้เลย เพราะเสี่ยงขัดต่อกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 140 และขัดต่อพ.ร.บ.วินัยการเงิน การคลัง มาตรา 53 ที่มีการระบุว่า หากใช้เงินที่ไม่ได้เป็นไปตามงบประมาณปกติ จะทำได้กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น แต่วันนี้ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไร” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เราไม่ได้อยากกดดันให้มีการร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่เราคิดว่านี่เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารอย่างแท้จริงที่ต้องแสดงความรับผิดชอบ โดยให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้เด็ดขาด ว่ารัฐบาลจะออกพ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ได้หรือไม่ โดยไม่ต้องไปถึงมือขององค์กรอิสระที่ไม่เป็นวิถีทางประชาธิปไตยสักเท่าไร

และกล่าวด้วยว่า ที่ต้องออกมาพูด เพราะการออกพ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท มีความสุ่มเสี่ยงจริงๆ เหมือนกับกรณีพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท อย่างชัดเจน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ดังนั้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า การที่รัฐบาลเลือกทางนี้ เพราะไม่ต้องการให้โครงการนี้สำเร็จ แต่ต้องการให้เข้าทางนักร้องต่างๆ เพื่อหาทางลงให้สวยงามของโครงการที่มาถึงทางตันโดยสมบูรณ์แล้ว ตนไม่ได้เห็นด้วยกับการร้องศาลรัฐธรรมนูญเรื่องนี้ แต่ขอให้รัฐบาลได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองโดยการให้กฤษฎีกาตีความ

“รัฐบาลเองน่าจะเห็นแล้วว่าไม่มีทางที่จะไปได้จริงๆ ทางเลือกนี้เป็นการหาทางลงมากกว่าที่จะเดินหน้าโครงการนี้จริงๆ ถ้ากฤษฎีกาตีความเข้าข้างให้ผ่าน และสส. ในสภาก็ให้ผ่าน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือภาระหนี้ในแต่ละปีงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของงบรายจ่ายประจำปี ซึ่งจะเป็นภาระงบประมาณอย่างใหญ่หลวงสิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้จะทำภาระดอกเบี้ยเกิน 10% ในงบประมาณปี’68 ทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่ได้พูดถึงทั้งเรื่องภาระหนี้ และภาระดอกเบี้ย ความเสี่ยงนี้จะไม่เกิดขึ้นหากพ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ถูกทำแท้งตั้งแต่ต้นโดยกฤษฎีกา” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่า แบบนี้เหมือนเป็นการขายผ้าเอาหน้ารอดหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ถ้าจะพูดแบบนั้นน่าจะได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาจากการที่ไม่ได้คิดนโยบายอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่ก่อนหาเสียง เมื่อถึงทางตันจึงต้องหาทางลงแบบนี้

“เงื่อนไขต่างๆ โครงการดิจิทัล วอลเล็ต เหมือนลอยมาจากฟ้าโดยสิ้นเชิง หากตัดตามสัดส่วนผู้มีรายได้ 20% บนสุดต้องอยู่ประมาณ 6 หมื่นบาท แต่วันนี้เราไม่รู้ว่าตัวเลข 7 หมื่นบาท มาจากไหน จะตัดคน 4 ล้านกว่าคนได้จริงหรือไม่ ตนคิดว่ารัฐบาลต้องการตัวเลขกลมๆ ที่ 50 ล้านคนจึงไม่มีหลักเกณฑ์อะไรมากนัก” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

3) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่าน X หรือทวิตเตอร์ ตอบโต้นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับ โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่นายกฯเพิ่งจะแถลงความชัดเจนไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย.2566 ว่า

“อย่าเอามาตรฐานความคิดของตัวเองมาหวังว่าคนอื่นเค้าจะเป็นเหมือนกัน อย่ามองความตั้งใจที่บริสุทธิ์ และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน มาเป็นมุมการเมืองที่สร้างความสับสนให้กับประชาชนเลยครับ”

นอกจากนี้นายเศรษฐา ได้ตอบทวีตของนายสุทธิชัย หยุ่น ที่ระบุว่า “นายกย้ำคำว่า e-government หลายครั้ง คงต้องนิยามให้ชัด ๆ อย่าให้งงเหมือน soft power” โดยนายกฯกล่าวว่า “ผมว่าทุกคนเค้าเข้าใจดีครับ ยกเว้นสื่อบางสื่ออาจจะพยายามบิดเบียนหรือสร้างความเข้าใจ เพื่อให้คุณเข้าใจผิด”

นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้ตอบทวิตของนายสุทธิชัย หยุ่น อีกหนึ่งคำถามที่ระบุว่า “นายกฯยังยืนยันว่า GDP ไทยจะโตเฉลี่ย 5% ใน 4 ปี ถ้าแจกเงินหมื่น (ทำให้ไม่กังวลสัดส่วนหนี้สาธารณะ) ถ้าไม่ได้ทำไง? โดยนายกฯตอบว่า “ใช่ครับถ้าไม่ได้ก็ต้องมาดูว่าเกิดจากเหตุอะไร มีปัจจัยแทรกซ้อนอื่นๆ ที่คาดไม่ถึงหรือไม่ เราก็ต้องหาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ยืนยันครับรัฐบาลจะรักษาวินัยการเงินการคลัง และให้อยู่ในกรอบ หนี้สาธารณะ ที่ไม่เกิน 70%ของ GDP”

4) ในเวลาต่อมา น.ส.ศิริกัญญา โพสต์ตอบโต้กลับไปยังนายเศรษฐาว่า “Noble Effort คำเรียกตรรกะวิบัติชนิดหนึ่งที่ตีความผิดๆ ว่า อะไรสักอย่างย่อมถูกต้อง ดีงาม
จริงแท้ หรือมีคุณค่า เพียงเพราะใครสักคนทุ่มเทแรงกายแรงใจหรือแม้แต่เสียสละเวลา ทรัพย์สิน หรือความสุขสบาย มาพากเพียรทำสิ่งนั้นๆ ด้วยเจตนาที่ดี”

5) ใช่ครับ แม้คำตอบกลับของศิริกัญญา จะเป็นได้แค่กิริยาแบบ “ผู้หญิงๆ” ไม่ได้เพิ่มคุณค่าอะไรในเชิงการเรียนรู้สำหรับพี่น้องประชาชน แต่กองเชียร์ของพรรคก้าวไกลเป็นกองเชียร์แบบ “นิยมชมชอบ” มิใช่กองเชียร์แบบ “ต้องการการเรียนรู้”

6) ในขณะที่เศรษฐา กับพรรคเพื่อไทยต้องหาทางดัน“ดิจิทัล วอลเล็ต” ให้ได้ หรือไม่ก็ทำไม่ได้เพราะ “มีเหตุสกัด ทำให้ล่ม” และอาจขอทำต่อหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยใช้เป็นนโยบาย “หาเสียง” อีกหน พรรคก้าวไกลก็มีคราบไคลความคาว และความย้อนแย้ง 2 มาตรฐานให้ต้องเร่งเคลียร์เช่นเดียวกัน

7) เฟซบุ๊ก ปู จิตกร บุษบา เรียกร้องกับพรรคก้าวไกลว่า ต้องเปิดเผยผลการสอบ “สส.หื่นกาม” ให้สาธารณชนรับทราบ โดยมีเนื้อหาว่า

“เพื่อความโปร่งใส มีมาตรฐาน และตรวจสอบได้ พรรคก้าวไกลต้องเปิดเผยผลการตรวจสอบ สส.หื่น ครับ

1) สส.แจ้ ปราจีนบุรี เขต 2 มาจากการเลือกของประชาชน 35,000 กว่าคน คุณเอาคนแค่ไม่กี่คน ไปขับเขาออกจากพรรคก้าวไกล โดยไม่ชี้แจงต่อประชาชนคนศรีมหาโพธิ, ประจันตคาม และนาดี (ยกเว้น ต.ทุ่งโพธิ์ กับ ต.แก่งดินสอ) ที่เลือกเขาได้อย่างไร?

2) สส.ปูอัด สส.จอมทอง บางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร มาจากการเลือกของประชาชน 46,000 กว่าคน คุณเอาคนแค่ไม่กี่คนขับเขาออกจากพรรคโดยไม่บอกกล่าวต่อประชาชนเหล่านั้นได้อย่างไร ว่า ปูอัดมีพฤติกรรมอย่างไร และใครลงมติในการโหวตอย่างไร รอบแรก สส. ที่ไม่มาลงมติเป็นใคร สส. ที่ลงมติไม่ขับเป็นใคร ทำไมต้องทำพิธีกรรม “ขับออก” ถึง 2 รอบ เพราะสังคมกดดันพรรคก้าวไกลใช่หรือไม่? จึงต้องมาทำแท้งซ้ำ จากเดิม-เลือกที่จะเก็บเด็กไว้

3) พรรคก้าวไกล จึงต้องเปิดเผยสำนวนการไต่สวน การนำสืบ และข้อโต้แย้ง จนกระทั่งถึงการลงมติให้ประชาชนรับทราบ เพราะเวลาองค์กรอิสระและองค์คณะของศาลมีมติ หรือคำวินิจฉัย ท่านยังเปิดเผยมติ และการลงมติเลยว่า ใคร มีมติอย่างไร?

4) พรรคก้าวไกลเคยเรียกร้อง ทั้งต่อศาล ต่อสภา ต่อองค์กรอิสระให้เปิดเผย ให้โปร่งใส ให้ตรวจสอบได้ แล้วพรรคก้าวไกลเปิดเผยไหม โปร่งใสไหม ตรวจสอบได้ไหม? เคยถึงขั้นจะให้ศาลมาจากการเลือกตั้งเลยนะ จำได้หรือเปล่า ถึงเวลาตัวเอง ไยไม่ปฏิบัติให้ได้ตามมาตรฐานที่เคย #ตีฝีปาก #สร้างวาทกรรม เรียกร้องจากคนอื่น หน่วยงานอื่น องค์กรอื่น

5) ข้อหา “ล่วงละเมิดทางเพศ” เป็น “ข้อหาหนัก” เป็นพฤติกรรมที่เป็น “ภัยสังคม” พรรคก้าวไกลต้องไม่เพียงแค่ “ปัดสวะให้พ้นตัว” หรือ “ตัดนิ้วที่ร้ายออก เพื่อรักษาพรรค” แต่ต้อง “#รับผิดชอบต่อสังคม” ด้วย อย่างเลวที่สุด คือ ให้สังคมรู้พฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ เพื่อความกระจ่าง เพื่อเฝ้าระวัง เพราะบุคคลทั้งสองจะยังเป็น สส. กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนต่อไป มีคณะทำงานต่อไป ในสังกัดพรรคใหม่ พรรคก้าวไกลต้องไม่ให้ “#คนชั่วลอยนวล” เว้นเสียแต่นี่เป็นแค่การรักษาพรรค ไม่รักษาสังคม ไม่รักษาประชาชน

6) ถ้าการตรวจสอบ ไต่สวน และการมีมติขับออกจากพรรค ของพรรคก้าวไกล มีความรอบคอบ มีมาตรฐานที่ดีจริง ทำไมพรรคก้าวไกลไม่นำเรื่องนี้เข้าร้องเรียนต่อคณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร หรือร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อ “เอาผิดทางกฎหมาย” ตามประมวลจริยธรรมด้วย ต่อให้มีคนอื่นไปร้อง ก็ไม่สำคัญ จนพรรคก้าวไกลจะใช้เป็นข้ออ้างและเพิกเฉยต่อการเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครมีข้อมูลเท่าที่พรรคก้าวไกลมีอีกแล้ว

พรรคก้าวไกลต้องทำให้ชัดว่านี่ไม่ใช่ปาหี่ ไม่ใช่ละคร ไม่ใช่การแสดง และไม่ใช่พรรคการเมืองสั่วๆ ทั่วไป ไม่มีอะไรใหม่ นอกจาก #วาทกรรมตอแหล

จะก้าวให้ไกล จะสร้างอนาคตใหม่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม #ต้องเริ่มจากความโปร่งใสไม่ลวงโลก !!”

สรุป : สิ่งที่ต้องจับตามองคือ

1.พรรคเพื่อไทยที่มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล จะสร้างผลงานใดให้ได้คะแนนนิยมในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อให้ได้ สส.มากกว่าพรรคก้าวไกล

2.ฝ่ายอนุรักษ์นิยม จะรักษาอำนาจผ่านพรรคการเมืองใด

3.หากพรรคก้าวไกลได้ สส.เกิน 250 คน ก็ปิดประตูการถูกสกัดไม่ให้เป็นรัฐบาลได้ทันที เพราะ สว. ไม่มีสิทธิโหวตเลือกนายกฯ อีกแล้ว ตามบทเฉพาะกาลที่หมดอายุลง

4.ก่อนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า สว. ชุดปัจจุบันจะหมดอายุ น่าจับตาว่า เครือข่ายก้าวไกลจะผลักดันคนของตนหรือคนที่นิยมชมชอบพรรคก้าวไกลเข้าเป็น สว. ได้มากเพียงใด

อันจะเป็นความราบรื่นในการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับในโอกาสหน้า ซึ่งสามารถแก้แบบ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” ตามที่เขาประสงค์ได้ !!