สังคมมีความรู้สึกนึกคิดแตกต่างมากมายต่อโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง
บ้าง ก็เอาประสบการณ์จากการได้เที่ยวกระเช้าไฟฟ้าในต่างประเทศมาสนับสนุน
บ้าง ก็เอาประสบการณ์การเดินเท้าขึ้นภูกระดึงมาคัดค้าน ฯลฯ
ทั้งหมด ไม่มีใครถูก-ผิด 100%
แต่ถ้าจะตัดสินใจโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ก็ควรจะทราบข้อมูลความจริงของโครงการ ว่าที่เคยศึกษามาก่อนหน้านี้ จนถึงวันที่ของบจ้างออกแบบ 28 ล้านบาทนั้น มีข้อมูลโครงการ แนวทาง แผนการบริหารจัดการหลังสร้างกระเช้าไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร?
ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ ได้เคยสรุป “จดหมายเหตุ : กระเช้าภูกระดึง” วิเคราะห์ถึงผลดี/ผลเสีย ความเป็นไปได้ของโครงการกระเช้าภูกระดึง ตามผลการศึกษาล่าสุด
สมควรที่สังคมควรจะได้พิจารณาประกอบการตัดสินใจ ดังต่อไปนี้
1. ภูกระดึงเป็นอุทยานแห่งชาติ แห่งที่ 2 ของประเทศไทย โดยได้รับการประกาศในปีพ.ศ. 2505 มีเนื้อที่สองแสนกว่าไร่ ลักษณะทั่วไปคือเป็นภูเขาหินยอดตัดทางขึ้นชันรอบด้าน
เส้นทางปัจจุบันที่ใช้เดินขึ้นภูกระดึงจากตำบลศรีฐาน สู่หลังแป มีระยะทางประมาณ 6 กม. หลังจากนั้นต้องเดินไปที่ทำการอุทยานฯอีกประมาณ 3 กม.รวมใช้เวลาเดินทางเฉลี่ยประมาณ 5-6 ชม.
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆก็มีระยะทางไกลจากที่พักมากและต้องเดินเท้าเท่านั้น ความยากลำบากนี้ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นรุ่นหนุ่มสาว และการท่องเที่ยวจะกระจุกตัวอยู่เฉพาะในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดยาว เนื่องจากต้องค้างอย่างน้อยหนึ่งคืน
ด้วยเหตุนี้ จึงมีความคิดที่จะสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2527 โดยในครั้งแรกนั้น มี ม.เกษตรศาสตร์เป็นผู้จัดทำ EIA
แต่คราวนั้น ถูกนักอนุรักษ์และกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์คัดค้าน โครงการก็พับไป
จนมีการรื้อขึ้นมาอีกในปีพ.ศ. 2541 คราวนี้มี บจ. ทีม คอนซัลแตนท์ เป็นผู้ทำ EIA ใช้เวลาสองปี สรุปออกมาได้ว่าให้สร้างกระเช้าตามแนวที่นักท่องเที่ยวใช้เดินอยู่เดิมเนื่องจากมีความเหมาะสมที่สุด แต่ก็ไม่ได้สร้าง
ต่อมา ในปีพ.ศ.2557 จึงมีการรื้อโครงการขึ้นมาอีกครั้งโดยให้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ศึกษา ซึ่งเป็นตัวเอกสารที่ผมใช้อ้างอิงในการเขียนครั้งนี้
2. ในส่วนของตัวกระเช้านั้น ข้อมูลคร่าวๆ คือ จะมีความยาว 3,675 เมตร มีเสาทั้งหมด 16 ต้น
รวมแล้วพื้นที่ฐานของเสาทั้งหมดจะตัดป่าเพียง 3.65 ไร่
โดยอุปกรณ์ก่อสร้างทั้งหมดจะใช้การหย่อนลงด้วยเฮลิคอปเตอร์ ไม่มีการตัดถนนเพื่อลำเลียงวัสดุ/อุปกรณ์ก่อสร้างและไม่มีการตัดป่าตามแนวกระเช้า เนื่องจากกระเช้าจะทำให้สูงพ้นแนวเรือนยอดไม้ให้ได้ชมวิวป่าไปด้วย ซึ่งจากข้อมูลนี้และตัวอย่างจากต่างประเทศทั้งในรายงานและที่ผมเคยไปเที่ยวมา คิดว่าลำพังการก่อสร้างและตัวกระเช้าไฟฟ้า ไม่น่าส่งผลกระทบอะไรต่อระบบนิเวศมากมายนักทั้งระหว่างก่อสร้างและดำเนินการ
สิ่งที่น่าห่วงคือ นักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปกับกระเช้ามากกว่า
3. ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของภูกระดึง (Carrying Capacity)เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพราะต้องเข้าใจกันก่อนว่า หน้าที่หลักของอุทยานแห่งชาติ คือ การอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงอยู่ในสภาพเดิม โดยการใช้ประโยชน์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวนั้นเป็นหน้าที่รองลงมา
ทั้งนี้ในปัจจุบันภูกระดึงเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปได้เฉพาะช่วงเดือน ตุลาคม ถึง พฤษภาคม เท่านั้น โดยปิดในช่วงฤดูฝน เนื่องจากการขึ้นลงจะลำบากมาก และเพื่อเปิดโอกาสให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว
โดยปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวไปภูกระดึงประมาณปีละ 62,000 คน ซึ่งจะไปเยอะในช่วงเสาร์-อาทิตย์ (ประมาณ 1,000 คน) และช่วงหยุดยาว (ประมาณ 3,000 คน)
ถ้านำตัวเลขมาเฉลี่ยก็คือประมาณ 172 คน/วัน ในขณะที่การศึกษาของบจ.ทีมฯ ระบุว่าภูกระดึงมีความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวได้วันละ 1,925 คน ในกรณีที่ไม่มีกระเช้า และ 4,425 คนในกรณีที่มีกระเช้า
ส่วนของม.มหิดลในปีพ.ศ.2537 ระบุว่ารองรับได้วันละ 1,500 คน
ซึ่งในส่วนของโครงการปัจจุบันนั้น ตั้งเป้าไว้เฉลี่ยประมาณวันละ 700 คน หรือประมาณ 253,500 คนต่อปี หรือให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 4 เท่านิดๆ (รวมนักท่องเที่ยวทั้งค้างคืนและไม่ค้างคืน)
สิ่งหนึ่งที่กระเช้าภูกระดึงจะแตกต่างไปจากกระเช้าที่ผมเคยไปเที่ยวมา คือ ส่วนใหญ่แล้วเค้าจะให้คนขึ้นไปแล้วจัดให้อยู่ในพื้นที่แคบๆ ที่กำหนดไว้ ไม่ได้ปล่อยให้ออกไปเดินข้างนอกหรือค้างคืนเหมือนในกรณีของภูกระดึง
ซึ่งจุดนี้ เป็นอีกจุดที่มีข้อสงสัย เนื่องจากจุดท่องเที่ยวต่างๆ บนภูกระดึงนั้น ค่อนข้างไกล ยกตัวอย่าง เช่น ผาหล่มสักนั้น มีระยะทาง 9 กม.จากที่ทำการฯผู้สูงอายุที่ขึ้นไปถึงยอดด้วยกระเช้าแล้ว ก็ไม่สามารถเดินไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆได้อยู่ดี จึงเกิดคำถามจากหลายฝ่ายว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป? มีรถรับส่งตามจุดท่องเที่ยวไหม? มีร้านค้า ห้องน้ำ เพิ่มขึ้นไหม? สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อระบบนิเวศบนยอดภูกระดึง
ซึ่งการศึกษาในปัจจุบันก็ไม่ได้นับรวมสิ่งเหล่านี้เข้าไป
4. คำถามเรื่องนักท่องเที่ยวขึ้นไปแล้ว จะทำอะไร มีการตอบโจทย์อยู่บ้างในรูปแบบของ “ศูนย์การศึกษาเรียนรู้ทางธรรมชาติ” ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นที่บริเวณลานแป ใกล้ๆกับสถานีกระเช้า
ตามแผน คือ จะมีการจัดให้นักเรียนนักศึกษาและนักท่องเที่ยวทั่วไปมาเที่ยวศูนย์นี้โดยคิดค่าขึ้น/ลงกระเช้าและค่าเข้าชมศูนย์รวมทั้งหมด 500 บาท
ซึ่งรายได้จากโครงการนี้จะกลายเป็นรายได้หลักของโครงการกระเช้าไปเลย เพราะจากการศึกษาจะได้มากกว่าค่ากระเช้าขึ้น/ลงบริการนักท่องเที่ยว ซึ่งจะคิดเที่ยวละ 200 บาทด้วยซ้ำไป
ทั้งนี้ ค่าก่อสร้างศูนย์แห่งนี้ ยังไม่มีรวมอยู่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการกระเช้า ในขณะที่ผลประโยชน์ถูกนับรวมเข้ามาด้วย
และที่น่าสนใจ คือ ขนาดของศูนย์ฯดังกล่าวจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าไม่รวมค่ากระเช้า ค่าเข้าชมศูนย์ที่ 100 บาทนับว่าค่อนข้างสูง เปรียบเทียบว่าเป็นราคาเดียวกับค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ 3 แห่งขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่รังสิตคลอง 5 หรือค่าเข้าชมสวนสัตว์ดุสิต(ราคาผู้ใหญ่) ซึ่งถ้าเทียบแบบนี้แล้วศูนย์ดังกล่าวก็คงต้องมีขนาดใหญ่พอสมควรเพื่อให้คุ้มค่าเข้า จนอาจจะต้องมี EIA แยกต่างหากอีกด้วยซ้ำ เพราะในที่สุดแล้วตั้งเป้าว่าจะรองรับนักท่องเที่ยวถึงปีละ 130,000 คน
5. คำถามข้อถัดไป คือ ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการ
ค่าก่อสร้างกระเช้าจะอยู่ที่ 596.8 ล้านบาท
ค่าดำเนินการและบำรุงรักษาปีละ 31.4 ล้านบาท
ค่าดูแลสิ่งแวดล้อมปีละ 3.5 ล้านบาท
ค่าเสียโอกาสของลูกหาบปีละประมาณ 4 ล้านบาท
ส่วนรายได้นั้น ทางตรงจะมีหลักๆ อยู่ 3 ส่วน ซึ่งผมขอยกตัวอย่างประมาณการรายได้ของปี 2569 ซึ่งเป็นปีที่ 10 ของการดำเนินการโครงการมาเป็นตัวอย่าง โดยในปีนี้โครงการจะมีรายได้จากกระเช้า 28.76 ล้านบาท ร้านค้า 11.94 ล้านบาท ส่วนรายได้จากศูนย์การศึกษาเรียนรู้ทางธรรมชาติที่เอ่ยถึงไปในข้อ4. นั้นปีแรกคิดว่าจะมีคนมาเยี่ยมชม 25,000 รายและเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี ในปี 2569 จะมีรายได้ปีละ 32.42 ล้านบาท
ถ้าเป็นเอกชน รายได้โครงการจะมีแค่นี้ และเป็นโครงการที่เจ๊ง ไม่มีใครลงทุน
แต่เมื่อเป็นโครงการของรัฐ ก็จะนับรวมผลประโยชน์ทางอ้อมของโครงการ โดยเฉพาะการเติบโตของเศรษฐกิจรอบๆ พื้นที่โครงการ เช่น โรงแรม ร้านอาหารร้านขายของ ไปด้วย
รายได้ทางอ้อมของโครงการนี้มีมูลค่า 94.23 ล้านบาท มีรายได้จากส่วนเกินของผู้บริโภค 21.24 ล้านบาท ซึ่งอย่างหลังนี่ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรและควรเอามารวมไหม
เอาเป็นว่ารวมรายได้ปี 2569 มีมูลค่าถึง 188.59 ล้านบาท
จากตัวเลขเหล่านี้ จะเห็นว่าโครงการน่าจะมีความคุ้มค่าทางการลงทุนได้ แม้จะมีเงื่อนไขที่ต้องผ่านหลายข้อ รวมไปถึงต้องมีงบประมาณมาสร้างศูนย์ฯซึ่งยังไม่เห็นว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วควรจะรวมอยู่ในการคิดคำนวณความคุ้มทุน...
สรุป
ข้อมูลข้างต้นนั้น คือ ข้อเขียนชวนคิดของ ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ ซึ่งย่อยมาจากรายงานผลการศึกษาความเป็นไปได้ฯ เมื่อปี 2557 (ล่าสุด)
ถึงวันนี้ รัฐบาลควรอธิบายรายละเอียดข้อมูลความจริงเหล่านี้ให้ชัดเจน มิใช่โยนให้สังคมถกเถียงกันตามความเชื่อและค่านิยมของแต่ละคน
ซึ่งบางที ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานแนวทางของโครงการที่จะดำเนินการจริงๆ
และข้อมูลโครงการก็ควรถูกตรวจสอบด้วยว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ย้อนแย้งในตัวเองหรือไม่?
ยกตัวอย่าง ความจริงของโครงการที่วางแผนว่า จะให้นักท่องเที่ยวขึ้นพักบนภูกระดึงได้ไม่เกินวันละ 5,000 คน โดยจำนวนเดินขึ้นกับขึ้นกระเช้าแต่ละวันไม่เกิน 8,000 คน
สภาพระบบนิเวศบนภูกระดึงจะรองรับได้แค่ไหน จากปัจจุบัน จำกัดไว้วันละไม่เกิน 2,000 คน
สุดท้าย ตามภาพถ่ายที่นำเสนอนี้ คือ สภาพการดูพระอาทิตย์ขึ้นบนภูกระดึงในวันที่เคยมีนักท่องเที่ยวขึ้นไป 4,000 คน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี