นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่นายกรัฐมนตรีไทยคนล่าสุด (และอีกหลายต่อหลายคนที่ผ่านๆ มาด้วย) ชอบบริหารประเทศด้วยความเพ้อฝัน แล้วอ้างแบบลอยๆ เพ้อๆ ว่า จินตนาการเป็นเรื่องสำคัญ
ไม่มีใครปฏิเสธว่าจินตนาการสำคัญ แต่จินตนาการที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง มันเป็นได้แค่ความเพ้อฝัน แล้วมันไม่ใช่เพ้อฝันธรรมดา แต่มันเป็นความเพ้อฝันที่แสดงออกถึงความไร้สติและไร้ปัญญา
เราไม่ต้องการผู้นำประเทศที่ไร้สติ สิ้นปัญญา ดีแต่บ้าพล่ามไปวันๆ แต่แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะประเทศไม่ได้พัฒนาขึ้นมาได้ด้วยน้ำลายของผู้บริหาร แต่ประเทศเจริญได้ด้วยสติปัญญา และความสามารถของผู้บริหาร
เราได้เห็นมาแล้วว่าสิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าติดอันดับประเทศพัฒนาแล้วได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ เนื่องจากมีผู้นำประเทศที่มีสติปัญญา และมีความรับผิดชอบแม้หลายคนอาจจะวิพากษ์ว่าลี กวน ยู ค่อนข้างจะเผด็จการมากไปสักหน่อย แต่ทว่าความเผด็จการของเขาไม่ได้ทำให้ประเทศทรุดโทรมลง ซึ่งผิดกับผู้นำในประเทศไทยเกือบทุกคนที่อ้างว่านิยมประชาธิปไตย แต่กลับมีพฤติกรรมโกงกินไม่เลือก แถมบางรายบ้าหนักยิ่งกว่า อ้างว่ารวยแล้วไม่โกง ทั้งๆ ที่ความรวยของเขานั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในแง่มุมต่างๆ สารพัดชนิด จนสุดท้ายเมื่อมีอำนาจรัฐก็จึงย่ามใจหนักถึงกับกล้าทุจริตเชิงนโยบาย เพราะตน่่เองมีอำนาจรัฐแล้ว
มาถึงวันนี้ วันที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มีประสบการณ์การเมืองแม้แต่น้อย ซึ่งแรกๆ ก็คิดว่าอาจจะดี เพราะไม่มีประสบการณ์การเมือง ก็น่าจะไม่มีประสบการณ์ด้านการโกงกินในทางการเมือง แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่เคยทำงานการเมืองมาก่อนจะไม่ทุจริตในการประกอบกิจการตามอาชีพเดิมของตน
เพราะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีไทยบางคนก็มาจากพ่อค้าใหญ่ โดยบางคนก็ทำมาหากินด้วยการได้รับสัมปทานจากรัฐบาลมายาวนาน แล้ววันหนึ่งก็ได้กินตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ซึ่งก็นับว่ามหัศจรรย์มากจนเกินบรรยาย ที่ผู้หากินกับสัมปทานของรัฐ แล้วได้มาเป็นผู้บริหารประเทศ
ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีประหลาดๆ หลากหลายประเภท แต่มีประเภทหนึ่งที่นับว่าน่ากลัวมากเป็นพิเศษคือพวกที่ขายฝันไปวันๆ อ้างว่าจะทำโครงการยักษ์ใหญ่สารพัดโครงการ แต่สุดท้ายโครงการดังกล่าวเหลวละลายกลายเป็นลมไป ตัวอย่างเช่นโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งนับเป็นโครงการที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสนามบินแต่ละแห่งห่างไกลกันมาก บางแห่งอยู่ห่างกันคนละจังหวัด แต่ก็ยังอุตส่าห์มีการประกาศโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมสามสนามบิน แล้วเป็นอย่างไรเล่า พูดเรื่องนี้มาสองปีกว่าแล้ว ปัจจุบันทุกอย่างยังเป็นลมอยู่เลย
ถามว่าทำไมรัฐบาลที่เสนอโครงการนี้ หรือรับรองโครงการนี้จึงไม่มีสติปัญญารู้ว่าเรื่องแบบนี้ทำได้ยากมาก ต้องย้ำว่าสนามบินแต่ละแห่งอยู่ห่างกันไกลลิบ และไกลโพ้น มันไม่ใช่ Terminal ในสนามบินเดียวกัน จึงจะทำรถไฟฟ้าเชื่อมต่อแต่ละ Terminal ได้ เพราะขนาดทำรถไฟฟ้าเชื่อม Terminal ในสนามบินเดียวกันในประเทศไทยยังทำได้แสนจะยาก แล้วนี่ดันทุรังทำรถไฟฟ้าเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งนับว่าเป็นฝันที่แสนหวาน แต่มันก็คือความฝันเท่านั้น แล้วฝันที่รัฐบาลเพ้อฝันไว้ก็มักจะล่มและสลายเป็นประจำ
ดูง่ายๆ จากโครงการท่าเรือต่างๆ ที่สร้างกระจายหว่านแหเต็มไปหมด แต่สุดท้ายสร้างเสร็จแล้วได้ประโยชน์หรือได้กำไรจากการสร้างหรือไม่ เรื่องเหล่านี้คนไทยประจักษ์เป็นอย่างดีแล้วก็ประจักษ์ดียิ่งกว่าว่าคนอนุมัติโครงการได้ผลประโยชน์โดยไม่ชอบไปมากมายมหาศาล แล้วปล่อยให้ประเทศชาติและคนไทยเป็นหนี้เป็นสินจนทุกวันนี้
คนไทยโชคร้ายมากที่มีนายกรัฐมนตรีหลายคนที่ดีแต่ปาก ดีแต่พล่าม แต่ทำงานไม่สำเร็จ แล้วเมื่อทำงานไม่สำเร็จ นายกรัฐมนตรีเหล่านั้นก็ไม่เคยมีความละอายใดๆ เพราะไม่รับผิดชอบในความล้มเหลวที่ตนเองได้ก่อไว้
ในยุคนี้ คนไทยมีนายกรัฐมนตรี Salesman เพราะเขาประกาศตัวเองว่าเป็น Salesman คนไทยเห็นและรู้นิสัยของ Salesman เป็นอย่างดี แล้วรู้ดีว่าดีแต่ปาก พล่ามไปเรื่อยๆ สัญญาไปวันๆ แต่ส่วนมากสัญญาลมๆ แล้งๆ เพื่อให้ขายของได้เท่านั้น แต่เมื่อขายได้แล้วบางรายก็หายศีรษะไปเลย ตามเท่าไรก็ไม่หวนกลับมารับผิดชอบในสินค้าที่ขายไปแล้ว แต่นั้นยังนับว่าดีพอสมควร เพราะขายสินค้าได้แล้ว แต่สำหรับนายกรัฐมนตรีไทยคนล่าสุดที่ประกาศโฆษณาทุกวี่ทุกวันว่าไปคุยกับนักธุรกิจระดับโลกมาแล้วในหลายเวทีการประชุม เมื่อครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ แต่ก็มีคำถามว่าคำคุยเขื่องที่ว่าไปคุยกับคนโน่น คนนี้คนนั้นมาแล้วนั้น จวบจนบัดนี้มีนักลงทุนระดับโลกรายไหนบ้างที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ไหนลองยกตัวอย่างชัดๆ มาสักรายเถอะขอบอกตรงๆ ว่าเรื่องคุยนั้น ใครก็คุยได้ แต่คุยแล้วทำได้จริงบ้างหรือไม่หากทำได้จริง ขอให้ยกตัวอย่างชัดๆ มาเป็นเครื่องยืนยันสักราย
มาบัดนี้ Salesman ของไทยประกาศขายโครงการ Land Bridge ทุกวี่ทุกวัน ทั้งๆ ที่แรกๆ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เนื่องจากคงเกรงว่าจะเป็นการเอางานเก่าของรัฐบาลที่ตนเองรังเกียจว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ แต่ไปๆ มาๆ กลับขายเรื่อง Land Bridge หนักยิ่งกว่ารัฐบาลเดิม แล้วก็น่าอัศจรรย์ใจที่ไม่เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้จะให้ความสำคัญกับโครงการ EEC ที่ค้างคามาจากรัฐบาลเดิม ทั้งๆ ที่โครงการ EEC ถูกป่าวประกาศว่าเป็นโครงการอภิมหาโปรเจกท์ ลงทุนไปก็มากพอสมควรแล้ว แต่ดูๆ เสมือนว่ารัฐบาลนี้ไม่พยายามเข้าไปสานต่อ แต่กลับจะไปผลักดันโครงการ Land Bridge ทั้งๆ ที่ยังไม่มีความชัดเจน ยังไม่เป็นรูปธรรมแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้ถูกวิพากษ์ว่า
เหตุที่ไม่สานต่อ EEC เพราะรัฐบาลเดิมได้ผลประโยชน์ไปแล้ว จึงเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ใหม่ๆ จากการริเริ่มโครงการยาก ดังนั้นจึงต้องพยายามสร้างโครงการใหม่ๆ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์มหาศาลสำหรับผู้ริเริ่มโครงการ
น่าประหลาดเหลือที่รัฐบาลใหม่มักจะชอบรื้อหรือทิ้งโครงการเก่าๆ ที่ยังค้างๆ คาๆ แต่ชอบเอาหน้ากับโครงการเก่าที่สำเร็จเสร็จสิ้นในยุคที่ตนเองเป็นรัฐบาล ทั้งๆ ที่มันเป็นโครงการเดิมที่ก่อไว้ในรัฐบาลเก่าที่ตนเองแสนจะรังเกียจ แต่ครั้นเมื่อโครงการสำเร็จ ก็อ้างว่าเป็นผลงานของตนอย่างหน้าไม่อาย
โครงการสะพานเชื่อมอันดามันกับอ่าวไทย หรือ Land Bridge ยังเป็นสิ่งที่เลื่อนลอย จนหลายฝ่ายวิพากษ์ว่าดูคล้ายเรื่องเพ้อเจ้อ แต่ก็ประหลาดตรงที่นายกรัฐมนตรีสามารถนำไปพูดได้เรื่อยๆ ทั้งๆ ที่พูดในสิ่งที่ไม่มีความชัดเจนแม้แต่น้อย ฟังนายกรัฐมนตรีพูดเรื่อง Land Bridge แล้วบอกได้ชัดๆ ตรงๆ ว่าเลื่อนลอยมาก แล้วยิ่งไปฟังคำตอบจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และปลัดกระทรวงคมนาคมก็ยิ่งตอกย้ำความเลื่อนลอย จนบ่งบอกได้ว่า เพ้อฝัน
รัฐบาลชุดนี้พูดเรื่อง Land Bridge โดยไม่สามารถแสดงความชัดเจนของโครงการได้แม้แต่น้อย ถามหาแผนการชัดๆ ก็ไม่มี ไม่มีแม้กระทั่ง Term of Reference สิ่งที่รัฐบาลอ้างคือเรามี Good Location แต่ไม่ตอบแม้แต่น้อยว่าต้นทุนโครงการนี้มูลค่าเท่าไร ถามว่าการมี Good Location แต่ไม่มีทุนสำหรับทำโครงการก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะหากจะให้คนอื่นเข้ามาลงทุน เขาก็ต้องคิดกำไร ไม่มีใครทำให้ฟรี เพราะเขาไม่ใช่องค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหากำไร
แน่นอนว่ารัฐบาลไทยไม่มีปัญญาลงทุนโครงการ Land Bridge เพราะใช้งบประมาณก่อสร้างมหาศาลนับล้านล้านบาทดังนั้นการจะให้คนอื่นเข้ามาลงทุน เขาก็ต้องหากำไรจากการเข้ามาทำโครงการ แต่ปัญหาคือใครจะเข้ามาลงทุน ทั้งๆ ที่เขายังไม่เห็นตัวเลขชัดๆ ว่าเขาลงทุนแล้วเขาจะได้ประโยชน์อะไร
รัฐบาลไม่สามารถตอบได้ว่าโครงการ Land Bridge จะลดต้นทุนการขนส่งทางทะเลจากเส้นทางเดิมได้เท่าไร ลดระยะเวลาการเดินเรือขนส่ง รับ-ส่งสินค้าได้กี่วัน ประหยัดจากเดิมเป็นเงินเท่าไร แล้วรัฐบาลมั่นใจหรือว่าเมื่อสร้างแล้ว (ในกรณีที่มีคนลงทุนสร้าง) จะมีลูกค้ามาใช้บริการ ทำไมเขาต้องมาใช้บริการ Land Bridge ทั้งๆ ที่เขามีบริการเดิมที่ใช้มาจนคุ้นเคยอยู่แล้ว หากเราตอบเขาไม่ได้ว่าเขามาใช้แล้วประหยัดกว่าเดิมอย่างไร รับรองไม่มีใครใช้บริการแน่นอน
ขอย้ำอีกครั้งว่า โครงการ Land Bridge มูลค่าขั้นต่ำ 1 ล้านล้านบาท เป็นโครงการที่รัฐบาลไม่มีปัญญาหางบประมาณไปก่อสร้างได้แน่นอน แต่ก็ต้องถามว่า แล้วใครจะมาลงทุนให้ เราจะแบ่งผลประโยชน์จากการลงทุนอย่างไร รัฐบาลตอบได้ไหม แล้วที่สำคัญคือรัฐบาลเห็นโครงการท่าเรือกระบี่-ขนอมแล้วใช่ไหม ประจักษ์แล้วใช่ไหมว่าสำเร็จหรือล้มเหลว ลงทุนไปเท่าไร แล้วได้ใช้ประโยชน์หรือไม่ ใครรับผิดชอบการละลายงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์
เป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์มากที่สุดที่รัฐบาลไม่ฟังเสียงท้วงติงของสภาพัฒน์ (สำนักงานสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ที่ระบุผลการศึกษาว่าไม่คุ้มค่าการลงทุน และก็ยังไม่ดูผลการศึกษาของ Dubai World ที่ระบุว่าโครงการไม่น่าจะประสบความสำเร็จ แถมยังไม่ฟังความเห็นของเอกชนที่ประกอบกิจการเดินเรือสมุทรที่ระบุว่าโครงการนี้ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วก็ยังไม่รับฟังงานวิจัยของนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องนี้ซึ่งระบุแล้วว่าโครงการนี้ไม่ประสบความสำเร็จในเชิงเศรษฐกิจ
การที่รัฐบาลบอกว่าจีน และซาอุดีอาระเบียสนใจโครงการนี้ ถามว่าจีนกับซาอุดีอาระเบียพร้อมจะลงทุนให้ใช่หรือไม่แล้วก็ต้องถามต่อไปว่าเรือต่างๆ ที่เดินทางในช่องแคบมะละกาจะต้องเปลี่ยนไปใช้ Land Bridge เพราะอะไร เขาได้ประโยชน์อะไร
การก่อสร้าง Land Bridge โดยไม่ได้ดูถึงการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตในบ้านของเรา ไม่น่าจะก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะถึงทำไป ก็ไม่ได้ส่งเสริมให้ภาคการผลิตของไทยเข้มแข็งขึ้น
รัฐบาลตอบได้่ไหมว่าการทำโครงการใหญ่แบบอภิมหายักษ์ใหญ่มูลค่า 1 ล้านล้านบาท จะทำให้ไทยได้ประโยชน์อะไรอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลเคยทบทวนไหมว่าโครงการท่าเรือที่แหลมฉบังซึ่งมีนิคมอุตสาหกรรมรองรับอยู่แล้ว ใช้งบก่อสร้างเท่าไร ตอบได้เลยว่าน้อยกว่า 1 ล้านล้านบาทมาก แล้วการพยายามสร้าง Land Bridge โดยไม่มีอะไรรองรับเลย จะได้ประโยชน์กับประเทศไทยตรงไป กรุณาตอบให้ชัดเจนด้วยเถอะ
รัฐบาลกรุณาเลิกอ้างเถอะว่า เราไม่มีความเสี่ยงใดๆ เพราะเราไม่ต้องลงทุนเอง ก็ต้องถามกลับว่าแล้วคนที่เขามาลงทุนนั้น เขาโง่กว่าเราหรือ เขาจะเอาเงินของเขาเข้ามาละลายน้ำทิ้งหรือ อย่าลืมว่านักลงทุนระหว่างประเทศเขาก็มีสติปัญญา เขาไม่ได้มีเงินแล้วไร้สติปัญญา เพราะฉะนั้น เลิกอ้างว่าเราไม่มีความเสี่ยงใดๆ ทั้งๆ ที่เรามีความเสี่ยงมากมาย เช่น เสี่ยงในเรื่องการต้องยกที่ดินให้เพื่อทำโครงการ และต้องเวนคืนที่ดินจากชาวบ้านที่อยู่อาศัยมาก่อนในบริเวณที่ต้องทำโครงการ เหล่านี้คือความเสี่ยงและความสูญเสียทั้งสิ้น
ประเด็นทิ้งท้ายที่รัฐบาลต้องสำเหนียกไว้เสมอคือโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี การทำโครงการทุกโครงการล้วนต้องใช้เงิน ซึ่งก็คือการลงทุน แม้เราจะอ้างว่าเราไม่ได้ออกเงิน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าโครงการนี้ต้องทำบนแผ่นดินไทย แล้วเราจะให้ผู้ลงทุนทำโครงการนี้ใช้ที่ดินของประเทศไทยกี่สิบหรือกี่ร้อยปี ลงทุนไปแล้วเราได้อะไร ชาวบ้านได้อะไร ประเทศไทยได้อะไร รัฐบาลต้องไม่ลืมว่าทุกโครงการล้วนส่งผลดีและผลเสียต่อชาวบ้านเสมอปัญหาคือชาวบ้านจะได้ผลดีมากกว่าเสียหรือไม่ เรื่องแบบนี้รัฐบาลอย่าคิดเพียงว่าผลักดันโครงการไปก่อน หากเกิดปัญหาแล้วค่อยมาแก้ภายหลัง รัฐบาลที่ดีมีความรับผิดชอบต้องสำเหนียกในประเด็นนี้ให้มาก อย่าทำตัวเป็นรัฐบาลที่เข้ามาเพื่อผลาญชาติ ย้ำว่าอย่าทำตัวเป็นรัฐบาลผลาญชาติอีกต่อไปเลย เพราะประเทศไทยถูกรัฐบาลหลายชุดล้างผลาญมามากมายจนเกินจะทนได้ต่อไปแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี