โดยทั่วไป อินเดียในสายตาชาวโลกนั้น ดูยากจน ผู้คนแออัดการสัญจรไปมาขาดระเบียบวินัย เสียงดัง และยังล้าหลังอยู่แม้แต่เมืองไทยเราเอง ชาวไทยก็ยังมีความรู้สึก มีความติดตาติดใจว่า ชาวอินเดียที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยนั้น มักจะเป็นผู้ทำมาค้าขายรายย่อย และทำงานที่ไม่ต้องการฝีไม้ลายมือ ซึ่งภาพต่างๆ ในสายตาชาวโลกและชาวไทยดังกล่าว ก็พอมีความจริงอยู่บ้างเพราะถ้าเทียบไป อินเดียก็ยังถูกจัดเป็นประเทศกำลังพัฒนาเช่นเดียวกับไทย
แต่ในประเทศไทย ชาวไทยเชื้อชาติอินเดียส่วนใหญ่ล้วนมีการศึกษาดี มีกิจการหรืออาชีพค้าขายที่สำคัญๆ เช่น อุตสาหกรรมเพชรนิลจินดา อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้า อุตสาหกรรมเภสัชกรรม อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งจัดได้ว่ามีส่วนสำคัญในระดับหนึ่งของคนกลุ่มน้อยที่ค่อนข้างโดดเด่นในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย
ในโลกกว้าง ณ วันนี้ อินเดียกำลังเป็นที่กล่าวขวัญของแวดวงธุรกิจ วิชาการ และเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ ในขั้นของการได้รับการชื่นชมยกย่อง เพราะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยถัวเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 7 ต่อเนื่องหลายปีแล้ว และยังมีแนวโน้มว่าจะเติบโตในระดับนี้ต่อไปข้างหน้าในอีกหลายๆ ปี ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่สำคัญประเทศหนึ่งที่จะทดแทนจีน ที่กำลังเผชิญกับประเด็นปัญหามากมายทั้งตลาดภายในและตลาดภายนอก ทั้งนี้อินเดียก็สามารถฟันฝ่าเหตุการณ์โรคระบาดโควิด-19 มาได้อย่างน่าทึ่ง งดงาม ด้วยความสามารถในการผลิตวัคซีนและเวชภัณฑ์ด้วยตนเอง และมีการจัดวางระบบการบริการดูแลประชาชนอย่างทั่วถึงเกินความคาดหมายใดๆ และรุดหน้ากว่าบางประเทศที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วเสียอีก
ในขณะเดียวกัน อินเดียก็สามารถจัดส่งดาวเทียม และยานอวกาศ ไปลงที่ดวงจันทร์ เป็นประเทศลำดับที่ 4 ของโลกต่อจากสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน สะท้อนขีดความสามารถ และความก้าวหน้าทางด้านการวิจัยค้นคว้าและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยต้องไม่ลืมด้วยว่า อินเดียนั้นสามารถผลิตและครอบครองอาวุธนิวเคลียร์แล้ว
อินเดียเลี้ยงดูตนเอง และส่งออกทางด้านอาหาร แต่คู่ขนานกันไปก็มีความเป็นประเทศอุตสาหกรรมทั้งหนักและเบามากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ และเริ่มเป็นแหล่งโรงงานผลิตเครื่องใช้ไม้สอยทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ ขึ้นมาแข่งขันและทดแทนจีน นอกจากนั้น อินเดียก็มีการพัฒนาอุตสาหกรรมทางทหารขึ้นมาเรื่อยๆ และกำลังร่วมกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในเรื่องการผลิตเครื่องบินไอพ่นที่ทันสมัยล่าสุดไปจนถึงเรื่องการพัฒนายานยนต์อวกาศไร้คนขับ (Drones) ที่จะใช้พัฒนาได้ทั้งเพื่อการสู้รบ และเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่นการเกษตร การสำรวจทางทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น
ในแง่ของภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเมืองความมั่นคงระหว่างประเทศแล้ว อินเดียก็เริ่มทำตัวเป็นผู้นำกลุ่มประเทศโลกที่ 3 ที่เดิมมีฉายาว่า The Third World และบัดนี้ The Global South เพื่อกระชับความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกอยู่ในอาณัติของฝ่ายสหรัฐฯและยุโรปตะวันตกด้านหนึ่ง กับฝ่ายจีนและรัสเซียอีกด้านหนึ่ง และเพิ่มอำนาจต่อรองเพื่อไม่ถูกครอบงำ และเสริมสร้างอิทธิพลไปในตัวด้วย โดยอินเดียประสบความสำเร็จการเป็นประเทศเจ้าภาพกลุ่มประเทศ G20 (ประกอบด้วยประเทศพัฒนาแล้ว กับประเทศกำลังพัฒนาชั้นนำ) ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมาโดยสามารถเชิญชวนให้ประเทศหลักๆ ที่บาดหมางกัน เช่น ฝ่ายสหรัฐฯ กับฝ่ายจีนและรัสเซียมานั่งพูดคุยและตกลงออกแถลงการณ์ร่วมด้วยกันได้ โดยเฉพาะการตกลงให้มีการเชิญให้องค์การสหภาพแอฟริกา (Africa-Union - AU) ซึ่งมีสมาชิก 54 ประเทศ เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ G20 ได้
ในขณะเดียวกัน ในเชิงการเมืองการทูตระหว่างประเทศ อินเดียก็สามารถ “เล่นไพ่ได้หลายมือหรือหลายสำรับ” เช่น การไปร่วมมือกับจีนและรัสเซียในกรอบของการร่วมมือแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) และองค์การ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) และ ไปร่วมมือกับสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรแบบทวิภาคี และกับองค์กรที่ประชุมสี่เส้า - QUAD อันได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย อีกทั้งอินเดียก็กระชับความร่วมมือทางด้านความมั่นคงแบบสามเส้า กับญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ซึ่ง ณ วันนี้
ยังไม่มีประเทศใดๆ ในโลก สามารถที่จะดำเนินการทางการเมืองและการทูตระหว่างประเทศแบบอินเดีย ที่คบหาสมาคมได้กับทุกฝ่าย ไม่มีผู้ใดรังเกียจ แถมยังยินดีที่จะข้องแวะกับอินเดียอีกด้วย ทั้งนี้ในการที่โลกนำโดย สหรัฐฯ ดำเนินการคว่ำบาตรรัสเซีย ในเรื่องการรุกรานยูเครน อินเดียก็ไม่ได้เข้าไปร่วมสังฆกรรมด้วย แต่แถมยังทำมาค้าขายกับรัสเซียเป็นปกติในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ และในเรื่องพลังงานเชื้อเพลิง
ในเรื่องความมั่นคงเฉพาะหน้า อินเดียมีปัญหาเรื่องข้อพิพาทเขตแดนในเขตแคชเมียร์กับปากีสถาน และมีปัญหาข้อพิพาทว่าด้วยเรื่องดินแดนในเทือกเขาหิมาลัยกับจีน
และเคยต้องรบรากับทั้ง 2 ประเทศมาแล้ว ซึ่งอินเดียก็ดูไม่สะทกสะท้าน แต่ก็ไม่ได้ประมาท และบัดนี้ก็มีสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรมากระชับความร่วมมือมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในคาบมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า น้ำมัน และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่สำคัญอันหนึ่งของโลก และเมื่อมีประเด็นปัญหาของการโจรสลัดทางแถบทวีปแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ และบัดนี้การคุกคามของขบวนการฮูตีของเยเมน ต่อการเดินเรือในทะเลแดง เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพวกฮามาสในการต่อสู้กับอิสราเอลฝ่ายอินเดียเองก็ไม่รอช้า ได้ทำการส่งกองเรือรบ เพื่อไปคุ้มครองคุ้มกันเรือพาณิชย์ต่างๆ และเพื่อแสดงให้โลกตระหนักว่า อินเดียมีความสำคัญยิ่งต่อโลก ในเรื่องมหาสมุทรอินเดีย
เมื่ออินเดียมีความสำคัญยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ก็มีคำถามว่าแล้วประเทศไทยคิดอย่างไร? และจะทำอย่างไรต่อไป? วันนี้อินเดียที่แต่เดิมเรามองว่าเขาไม่เห็นจะเจริญเท่าไหร่ แต่กลับลุกมาผงาดแล้ว ในขณะที่ไทยเราเองยังดูผลุบๆ โผล่ๆ ทั้งในเรื่องการบริหารจัดการในเรื่องภายใน และการจัดวางนโยบายกับภายนอก ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียก็ไม่คึกคักมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะในช่วงโลกแห่งสงครามเย็น เพราะนโยบายไปกันคนละทิศละทาง
มาบัดนี้อินเดียที่เป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 5 ของโลกแล้ว ซึ่งจะไต่ขึ้นไปเป็นที่ 3 รองจากสหรัฐฯ และจีน ในเวลา
อีกไม่ช้านาน นั่นจึงหมายความว่า ประเทศไทยเราจะทำไม่รู้ไม่ชี้หรือมองข้ามอินเดียอีกต่อไปไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ ภาคสื่อ และภาคประชาสังคมของไทยเรา จะได้ตื่นตระหนักและร่วมกันคิดปรึกษาหารือกันได้โดยเร็วเมื่อใด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี