สังคมกำลังมีความเห็นว่า การกระทำของ “น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์” กับพวก ที่ขับรถไล่ตามและบีบแตรใส่ขบวนเสด็จฯของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ไม่มีการปิดถนน ขบวนไม่ยาว และแล่นไปบนท้องถนนด้วยเลนซ้ายสุด โดยตะวันกับพวก มีการถ่ายคลิปทำคอนเท้นต์ไปด้วยนั้น นับเป็นการกระทำที่ “บัดซบเลวทราม” เป็นอย่างยิ่ง
10 ก.พ. 2567 น.ส.ทานตะวัน และเพื่อนกลุ่มทะลุวัง ใช้พื้นที่ทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม จัดกิจกรรมทำโพลล์ “ขบวนเสด็จฯสร้างความเดือดร้อนหรือไม่”
ขณะที่กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ได้นัดรวมกลุ่มเช่นเดียวกันเพื่อแสดงความไม่พอใจกับกิจกรรมดังกล่าว จนมีการตะโกนต่อว่ากัน
น.ส.ทานตะวัน ได้ยืนชี้แจงกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีบีบแตรใส่ขบวนเสด็จฯ โดยกล่าวขอโทษที่ขับรถเร็วและไม่ระมัดระวัง จนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนคนอื่นที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ขอน้อมรับผิดเอาไว้ ขณะนั้นชายสวมเสื้อสีน้ำเงินของกลุ่ม ศปปส.ได้เดินเข้ามาและเกิดปะทะกันกับกลุ่มของ น.ส.ทานตะวัน จนชุลมุน เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรีบเข้ามากันทั้งสองฝ่ายออกจากกัน แต่ไม่เป็นผล มีการกระทบกระทั่งกันเป็นระยะๆ จนมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
ที่ สน.ปทุมวัน โดย น.ส.ทานตะวันจะแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่ม ศปปส. ขณะที่ตัวแทนกลุ่ม ศปปส.ได้ชี้แจงว่า พวกตนไม่เห็นด้วยกับกลุ่ม น.ส.ทานตะวัน และถูกทำร้ายร่างกายก่อน
เหตุวุ่นวายนี้ เกิดเพราะพฤติกรรมของ น.ส.ทานตะวันเป็นเหตุ และการเลือกวิธีเข้าปะทะของกลุ่ม ศปปส. แทนวิธีการอื่น เป็นภาพจำลอง “ความน่ากลัว” ของ “การยั่วยุ”
และ “ภาวะสุดจะทน” จนนำมาสู่การใช้ความรุนแรงต่อกันแบบนี้ นับเป็นปัญหาที่น่ากลัว หากกระบวนการยั่วยุ และภาวะความอดทนมีจำกัดเช่นนี้ จะดำเนินสืบเนื่องต่อไป
1) วันที่ 8 ก.พ. 2567 นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณี น.ส.ทานตะวัน ขับรถไล่ตามและบีบแตรใส่ขบวนเสด็จฯ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ว่า ตนคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงอยากจะดำเนินการ แต่ไม่กล้าดำเนินการ เดี๋ยวจะเป็นการระคายเคืองสถาบันฯ แต่พฤติกรรมของเด็กแบบนี้ไม่ถูกต้อง
“ผมถือเป็นพฤติกรรมหาเรื่อง ซึ่งเป็นคนที่เนรคุณต่อแผ่นดิน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องหล่อเรื่องเก่งนะครับมันเป็นเรื่องที่ไประคายเคืองสถาบันหลักของประเทศ เพราะเขาก็มีทางให้ไป แต่คุณไม่ไปเอง มาก่อกวน เป็นพฤติกรรมที่ก่อกวนและตั้งใจ เพราะไม่ใช่ขบวนเสด็จฯ จะไปขวางคุณซะเมื่อไหร่ ตามรูปที่ดูจากคลิป ก็เห็นว่าขบวนเสด็จฯ หลบอยู่ทางฝั่งขวา เลนทางซ้ายไปได้ แต่นี่คือพฤติกรรมหาเรื่อง เป็นสิ่งที่ไม่งาม ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในฐานะคนไทยคนหนึ่ง หรือว่าคุณทำเรื่องไม่ถูกต้องเท่ากับคุณไปด่าพ่อด่าแม่ตัวเองนะ พฤติกรรมแบบนี้ใช้ไม่ได้ และผมคงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นอีก ไม่ยอมแล้ว มีปัญหาแน่ ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทยแน่นอน” นายชาดา กล่าว
2) วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก“เทพไท-คุยการเมือง” หัวข้อ “ป่วนขบวนเสด็จฯ พฤฒิกรรมที่ไม่เหมาะสม” ระบุว่า...
“ผมเห็นคลิปข่าวเกี่ยวกับการป่วนขบวนเสด็จฯแล้วรู้สึกเศร้าใจและสังเวชใจ กับอารมณ์ความรู้สึกของเด็กรุ่นใหม่ในสังคมนี้ ปัญหาสภาพจิตและจิตสำนึกของเด็กรุ่นใหม่ ที่ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ เป็นเรื่องที่น่าวิตก สาเหตุอาจจะเกิดมาจากปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือนิสัยอันถาวร ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่าสันดาน ก็ไม่ทราบได้ เป็นพฤฒิกรรมที่ไม่เหมาะสมซึ่งผู้คนในสังคมจะต้องกลับมาทบทวนว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ส่วนตัวเห็นว่า ปัญหาหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากสาเหตุหลายประการ คือ
1.เป็นความอีโก้ส่วนตัวของเด็ก
2.เป็นเด็กหัวดื้อ ขวางโลก ทำตัวโดดเด่น
3.เป็นเด็กมองโลกในแง่ร้าย ไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย
4.ขาดการอบรมดูแลจากครอบครัว
5.การศึกษาในโรงเรียนไม่สามารถกล่อมเกลานิสัย ให้เป็นพลเมืองดีได้
6.อยากสร้างจุดเด่น อยากเป็นฮีโร่ ให้เป็นที่ยอมรับในหมู่เด็กรุ่นใหม่
7.เป็นเด็กที่มีปมด้อย มีปัญหาทางครอบครัว มีปัญหาทางจิตใจ
8.เป็นเด็กที่เสพสื่อโซเชียลเป็นหลัก ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่ถือปฏิบัติของคนในชาติ
9.เป็นเด็กที่ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น ยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่
10.เป็นเด็กก้าวร้าว เชื่อมั่นในตัวเองสูง เชื่อในตำราทฤษฎีที่เรียนมากกว่า สภาพความเป็นจริงของสังคม
11.ไม่รู้จักกาลเทศะ ว่าอะไรควรหรือไม่ควร มีความเหมาะสมหรือไม่
12.หัวหมอ ทำตัวเป็นกบฏต่อกฎเกณฑ์ ท้าท้ายอำนาจรัฐและต่อต้านการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
ยังมีเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย ที่ผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้หมด
ผมเข้าใจความคิด และธรรมชาติของวัยรุ่น คนรุ่นใหม่มากพอสมควร เพราะผมเคยผ่านวัยรุ่นมาก่อน เป็นนักกิจกรรม เป็นผู้นำนักศึกษา เคลื่อนไหวทางการเมือง ประท้วงรัฐบาลมาตลอด การแสดงออกทางการเมืองเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และกติกาของสังคม ไม่ได้สุดขั้วเหมือนกับเด็กยุคนี้ นับว่าเป็นวิกฤตทางสังคม ที่ผู้คนในสังคมนี้ ต้องช่วยกันขบคิด และแก้ปัญหากันต่อไป
3) วันที่ 9 ก.พ.2567 นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มบุคคลที่ไปขัดขวางขบวนเสด็จฯ ว่า กรณีที่เกิดขึ้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีความเหมาะสมทั้งกาลเทศะ รวมทั้งเป็นการละเมิด และย่ำยีจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ ทั้งนี้ กลุ่มที่เคลื่อนไหวต่างอ้างหลักการประชาธิปไตยมาเป็นเหตุอันชอบธรรมในการดำเนินการต่างๆ แต่ประชาชนทั่วไปต่างก็ทราบว่า มีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลัง และคอยให้ท้ายจนทำให้ผู้ที่เคลื่อนไหวเหิมเกริม เพราะคิดว่าทำอะไรแล้วจะมีคนมาช่วยเหลือ ซึ่งที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าว มักสร้างความไม่สบายให้กับสังคมไทยโดยรวม ยิ่งไปทำต่อบุคคลที่เป็นที่เคารพสักการะของคนไทยแล้ว ตนก็ยอมไม่ได้ ดังนั้น จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย และขอให้ขยายผลถึงผู้อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนให้กลุ่มคนเหล่านี้เคลื่อนไหว ซึ่งถือเป็นการกระทบต่อจิตใจ และความรู้สึกของประชาชนทั้งประเทศด้วย
“การที่เกิดกรณีขัดขวางขบวนเสด็จฯ ทั้งๆ ที่ ไม่มีการกั้นขบวน เพื่อให้รถปกติสัญจรไปมาได้นั้น ถือเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และหลักการประชาธิปไตย อันเป็นสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้ยึดถือในการเคลื่อนไหว เพราะผมจำได้ว่า กลุ่มดังกล่าวได้เคลื่อนไหวในประเด็นนี้ โดยอ้างว่า เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน แต่ในเมื่อมีการปรับวิธีการในการเสด็จฯ โดยทำให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุดนั้น คนกลุ่มนี้ก็ยังไม่พอใจ และถึงขนาดขับรถแทรกเข้าไปในขบวนอีก ถือว่ามีเจตนาอาฆาตมาดร้ายอย่างชัดเจน และเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง ซึ่งตรงนี้ ผมต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถสกัดกั้นไม่ให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้าไปถึงได้ เพราะฉะนั้น กรณีนี้ผมจะยกขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่เคลื่อนไหวกระทบต่อสถาบันฯ อย่างร้ายแรงนั้น ไม่สมควรที่จะได้รับการนิรโทษกรรมเพราะเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม และความรู้สึกของประชาชนทั่วไปด้วย “ นายชัยชนะ กล่าว
4) วันที่ 9 ก.พ. 2567 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ นายนิยม นพรัตน์ หรือเคสามถุยส์ นางกัลยาณี จูปรางค์ หรือป้าอยุธยา กลุ่มสีดาจะไม่ทน นายทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร ในฐานะแนวร่วมเพจ“วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร” เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เพื่อสอบจริยธรรมที่มีความร้ายแรงของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายประกัน และผู้กำกับดูแล น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน แกนนำกลุ่มทะลุวังในการกระทำอันเป็นการแสดงพฤติกรรมมิบังควรต่อขบวนเสด็จฯ 504 การให้สัมภาษณ์ให้ร้ายประเทศไทย และการพูดโกหก
โดยนายแทนคุณกล่าวว่า เนื่องจากนายพิธาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะนายประกัน และผู้กำกับดูแลน.ส.ทานตะวัน ผู้ต้องหาตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมีพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง จนมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงการกระทำที่ต่อเนื่องมีส่วนสนับสนุนและสัมพันธ์กันและกัน ของนายพิธา พรรคก้าวไกลและผู้ที่เคลื่อนไหว ซึ่งนายพิธา ได้แถลงต่อศาลอาญาในการรับเป็นนายประกันให้นางสาวทานตะวัน ว่า จะทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล เพื่อให้ปฏิบัติตนตามเงื่อนไขของศาล และจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ตามที่กฎหมายรับรองไว้
“บัดนี้ พบว่าน.ส.ทานตะวัน หนึ่งในการกระทำอันเป็นการแสดงพฤติกรรมมิบังควรต่อขบวนเสด็จฯ 504 โดยการพยายามขับรถยนต์ด้วยความเร็ว เพื่อไปให้ทัน
ขบวนเสด็จฯ จนตำรวจต้องสกัดกั้น มิให้แทรกเบียดเข้าไปในขบวน อันอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ รวมทั้งการแสดงกิริยาก้าวร้าว มีพฤติการณ์ไม่สมควร ในการบีบแตรรถเสียงดังยาวนาน การตำหนิมีปากเสียง และต่อว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งล้วนแต่เป็นพฤติการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้คนไทยทุกหมู่เหล่า” จึงขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้
5) วันต่อมา พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความใน X ว่า“...ขอชี้แจงว่า แม้ปัจจุบัน ในแง่กฎหมาย พิธาไม่ได้เป็นนายประกันของคุณทานตะวัน เนื่องจากคุณทานตะวันยื่นคำร้องขอถอนประกันตัวเองเมื่อต้นปี 2566 แต่พรรคก้าวไกลและพิธา ในฐานะนักการเมืองและในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีความห่วงใยบ้านเมืองและอนาคตของคนรุ่นใหม่ รู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พรรคก้าวไกลทราบว่าการแสดงออกของคุณทานตะวัน อาจสร้างความไม่สบายใจต่อประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมถึงทำให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับขอบเขตของการแสดงออกและเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวิธีการต่างๆ ในการเพิ่มแนวร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องมองเรื่องนี้โดยไม่แยกขาดจากภาพใหญ่ด้วยเช่นกัน นั่นคือ ความขัดแย้งทางการเมืองและความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนที่ยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งต้องอาศัยการพิจารณาร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคมถึงต้นตอของปัญหา และการสร้างพื้นที่สำหรับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกอย่างมีวุฒิภาวะและคลี่คลายความขัดแย้งในปัจจุบัน ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศไทยให้เท่าทันโลก...”
คำถามที่คนไทยควรถามกับพรรคก้าวไกล คือ “ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนที่ยังคงดำเนินอยู่” คืออะไร และเกี่ยวอะไรกับการกระทำอันบัดซบที่ควรถูกตำหนิของ น.ส.ทานตะวันกับพวก
6) วันที่ 10 ก.พ. 2567 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่ากรณี การบีบแตรใส่ และกระทำในลักษณะรบกวนขบวนเสด็จฯ ผมขออนุญาตให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาด้วยความปรารถนาดี ดังนี้
1. ยังไม่ต้องคำนึงถึงว่าการเดินทางดังกล่าวเป็นขบวนเสด็จฯ หรือไม่ก็ได้ แต่โดยปกติแล้วทุกประเทศย่อมต้องมีมาตรการในการอารักขาบุคคลสำคัญระหว่างการเดินทาง
บุคคลสำคัญ อาจจะเป็นผู้แทนจากต่างประเทศ หรือพระราชอาคันตุกะ ก็ได้ ซึ่งรัฐจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ระหว่างเดินทางมิได้
2. ดังนั้น การที่มีใครเข้าไปรบกวน กระบวนการในการอารักขาบุคคลสำคัญ ที่ดำเนินการตามมาตรการของรัฐ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ผมเข้าใจดีว่า ความคิดเห็นของผมบางท่านก็อาจจะไม่เห็นด้วย ซึ่งก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์ผมได้
แต่ในฐานที่ผมมีความปรารถนาดีหากจำเป็นต้องสะท้อนถึงสิ่งที่ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง ผมก็ต้องกล้าที่จะสะท้อนแบบตรงๆ แม้ว่าจะทราบดีว่าอาจจะเป็นความเห็นที่ไม่อยากฟัง ก็ตาม
ผมเชื่อว่า หลายท่านจะเข้าใจความปรารถนาดีของผมจริงๆ ความปรารถนาดี ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับทุกเรื่อง
ในบางเรื่องที่เห็นต่าง ก็ควรจะต้องบอกกันอย่างตรงไปตรงมา ถึงจะเป็นความปรารถนาดีที่แท้จริง
สรุป :
ข้อเท็จจริง ปรากฏในคลิปอย่างชัดเจนว่าขบวนเสด็จฯมิได้กีดขวางทางจราจร เช่นกันกับปรากฏอย่างชัดเจนว่า รถของ น.ส.ทานตะวัน “จงใจเร่งความเร็ว” ไล่จี้ขบวนเสด็จฯ และมีการบีบแตรใส่ และในคลิปก็มีการโวยวายอยู่ตลอดเวลา การกระทำดังกล่าว มีความผิดตามกฎหมายข้อใดบ้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องตรวจสอบและดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาอย่างไม่ชักช้า
ผู้ปกครองของ น.ส.ทานตะวัน ควรสร้างความสำนึกสำเหนียกให้แก่เธอ ในอันที่จะรู้ว่า สิทธิเสรีภาพต้องใช้อย่างรับผิดชอบ และมีขอบเขต การเข้าคุกคามขบวนเสด็จฯเป็นการกระทำที่ทำไม่ได้ เป็นบางประเทศ กระทำเช่นนี้อาจถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิงสวนมา จนเสียชีวิตไปแล้ว
ความคึกคะนองต่อเสรีภาพ แต่ไร้สามัญสำนึกต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม และไม่เคารพกติกา คือความ “บ้า” และ “บัดซบ” อย่างที่สุด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี