ค่อนข้างจะมีเหตุผลและหลักฐานที่แน่นแฟ้นว่าการสร้างพระสมเด็จสายวังในยุคต้น รวมทั้งการสร้างพระก่อนที่เจ้าประคุณสมเด็จจะได้รับพระบรมราชโองการให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังคือได้มีการสร้างพระในระหว่างธุดงค์จำนวนมากนั้นได้แฝงไว้ซึ่งนัยทางการเมืองที่สำคัญ คือการรวบรวมและจัดตั้งมูลนายหรือเลกวัด ซึ่งเท่ากับเป็นกองกำลังที่สนับสนุนพระภิกษุวชิรญาณหรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ และสนับสนุนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4ต่อเนื่องมาถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เสวยราชสมบัติ
การสร้างพระสมเด็จสายวังหลวง นอกจากระยะต้นแล้วก็มีการสร้างขึ้นอีกหลายรุ่นหลายครั้ง เพราะหลังจากสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณสถาปนาพระอิสริยยศให้สูงขึ้น และโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวังเมื่อมีการยกกรมวังขึ้นเป็นกระทรวงวังแล้ว ก็มีบทบาทและอำนาจมากขึ้น
นอกจากพระสมเด็จยุคแรกที่สร้างขึ้นดังกล่าวแล้ว มีการสร้างรุ่นพิเศษจำนวนไม่มากขึ้นอีกหลายครั้ง ซึ่งกระทรวงวังเป็นเจ้าของเรื่องโดยตรง อันหมายความว่ากระทรวงวังได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ให้สร้างขึ้น หรือไม่ก็มีพระบรมราชโองการให้สร้างขึ้น และการสร้างโดยลักษณะนี้ก็มีต่อเนื่องมาจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสวยราชย์แล้ว
พระสมเด็จสายวังหลวงที่สร้างขึ้นในลักษณะนี้ เท่าที่ปรากฏแล้วมีดังต่อไปนี้
รุ่นพิเศษรุ่นที่หนึ่ง คือพระสมเด็จรุ่น 8 องค์ เป็นเนื้อผงแบบสายวัดใช้แบบพิมพ์พระแก้ว แกะแบบโดยกรมช่างสิบหมู่ พระรุ่นนี้ใช้ผงศักดิ์สิทธิ์ทั้งของวัดระฆังและของวังหลวงโดยตรง ด้านหน้าลงรักปิดทอง ด้านหลังลงรักฝังมุกจีนแกะสลักอย่างละเอียดประณีตวิจิตร เป็นลายรดน้ำงดงามเปล่งประกายหลายหลากสีรุ้ง ภายในองค์พระบรรจุด้วยเหล็กไหลสามารถดูดเหล็กได้
พระสมเด็จรุ่นพิเศษ 8 องค์นี้เมื่อสร้างเสร็จแล้วเจ้าประคุณสมเด็จได้ปลุกเสกเองโดยเฉพาะตามแบบแผนวิธีปลุกเสกของวัดระฆัง ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ได้รับพระราชทานมาองค์หนึ่ง แต่พระองค์มิได้ทรงนำออกไปใช้ แต่ให้ต่อลูกกระบะจากไม้ไผ่ขึ้นลูกหนึ่ง ขนาดกว้างยาวราว 6 นิ้ว บรรจุข้าวสารแล้วนำพระไปวางไว้แล้วปิดฝาตั้งไว้ที่โต๊ะหมู่บูชาเพื่อถนอมรักษาเนื้อพระไว้ให้คงที่ 6-7 ปีก็เปลี่ยนข้าวสารเสียทีหนึ่ง ได้ปฏิบัติสืบทอดมาจนกระทั่งพระองค์นี้ได้ตกทอดมายังทายาทชั้นเหลน และต่อมาก็ได้มอบให้แก่นักกฎหมายคนหนึ่ง
พระสมเด็จรุ่นนี้มีปรากฏในกูเกิ้ลขณะนี้แล้ว 3 องค์ซึ่ง 2 องค์แรกไม่ปรากฏว่าเป็นของผู้ใด อีกองค์หนึ่งเป็นของนักกฎหมายที่ได้รับมอบมาจากทายาทของสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ซึ่งบรมครูที่เป็นเซียนพระอย่างน้อย2 ท่าน ได้ประเมินราคาว่ามีมูลค่าองค์ละ 40-60 ล้านบาท
รุ่นพิเศษที่สอง เป็นพระสมเด็จที่แกะจากงาช้างทรงหรือช้างพระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งล้มลงในขณะที่ยังครองราชย์อยู่ และงาช้างทรงนั้นก็ยังเก็บไว้ที่กระทรวงวัง ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้แกะเป็นพระสมเด็จได้ โดยกะว่าจะทำจำนวนทั้งหมด 27 องค์ เท่ากับจำนวนกลุ่มดาวฤกษ์ในนักษัตรที่มีทั้งสิ้น 27 กลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มดาวอัศวินีเป็นต้น และกลุ่มดาวเรวตีเป็นที่สุด รูปแบบพิมพ์แกะโดยช่างหลวงกรมช่างสิบหมู่ แต่เป็นช่างผู้ใดไม่ปรากฏชื่อ แต่คงเป็นประเภทช่างแกะนั่นเอง รูปทรงของพระจะเป็นแบบพระแก้วเป็นพื้น
พระรุ่นนี้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)ก็ปลุกเสกเองตามแบบแผนการปลุกเสกของวัดระฆัง พระจำนวน 27 องค์นี้จะอยู่ที่ไหนบ้างไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ชัดคือมีอยู่องค์หนึ่งอยู่ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ได้รับมอบในระหว่างจำคุกอยู่ที่กรมราชทัณฑ์ก่อนที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ได้นับถือบูชาเป็นพระประจำตัวอยู่ในขณะนี้
และเป็นพระที่เป็นสัญลักษณ์อันแน่นอนว่านายจตุพร พรหมพันธุ์ ในวันนี้ไม่ใช่นายจตุพร พรหมพันธุ์ คนเก่าอีกแล้ว แต่เป็นนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เป็นข้าแผ่นดิน ที่อยู่ใต้ร่มพระบารมีมาตั้งแต่แผ่นดินรัชกาลที่ 9 และจนบัดนี้ก็ไม่ปรากฏว่าพระรุ่นนี้มีมูลค่าเท่าใด เพราะไม่ปรากฏในตลาดพระเครื่อง และไม่มีการซื้อขายในตลาดพระเครื่องเลย
รุ่นพิเศษรุ่นที่สาม เป็นพระสมเด็จรุ่นนพรัตน์ที่เดิมทีมีประสงค์ที่จะแกะทำพระสมเด็จจากแก้วนพรัตน์ 9 ชนิด เพื่อให้ทันการฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ครองราชย์ครบ 1 ปีโดยกระทรวงวังรับภาระในการจัดทำ แต่ปรากฏว่าในการปฏิบัติจริงนั้นสามารถหาอัญมณีได้แค่ 7 ชนิด ขาดเพชรและนิลเพราะหาขนาดใหญ่ที่จะแกะเป็นองค์พระสมเด็จไม่ได้ ดังนั้นในทางปฏิบัติจริงพระสมเด็จรุ่นนี้จึงสร้างได้เพียง 7 องค์ และเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นผู้ปลุกเสกเป็นการเฉพาะตามแบบแผนวิธีปลุกเสกพระเครื่องของวัดระฆัง จึงมีพระพุทธคุณแรงกล้าเป็นพิเศษ
เนื่องจากพระรุ่นนี้เป็นพระที่มีมูลค่าสูงมากเพราะทำจากอัญมณีซึ่งมีราคาแพง ว่ากันว่าองค์ที่เป็นสีเขียวทำจากหยกที่ปริออกจากฐานพระแก้วมรกตเมื่อครั้งมีการสร้างเครื่องทรงในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 และพระสมเด็จองค์นี้ปัจจุบันปรากฏแล้วอยู่ในความครอบครองของคอลัมนิสต์ด้านต่างประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย
และยังปรากฏองค์ที่สองขึ้น ซึ่งองค์ที่สองนี้เนื้อองค์พระเป็นบุษราคัมที่มีราคาแพงมาก เพราะบุษราคัมที่เป็นแผ่นขนาดใหญ่พอที่จะแกะเป็นพระสมเด็จนั้นหายากยิ่ง ขนาดเม็ดเขื่องๆ พอทำหัวแหวนประดับนิ้วนางของสตรีก็มีราคาถึง 800,000 บาทแล้วพระสมเด็จองค์ที่เป็นเนื้อบุษราคัมนี้ด้านหน้าลงทองร่องชาด อันเป็นฝีมือของกรมช่างสิบหมู่ และสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ พระบรมวงศานุวงศ์ที่อาวุโสสูงสุดและมีบารมีมากที่สุด ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันนี้ตกทอดมาถึงรองกรรมการจัดการของบริษัท ธรรมนิติ จำกัด (มหาชน) แขวนเป็นพระประจำตัว
พระสมเด็จรุ่นพิเศษแก้วนพรัตน์นี้ เนื่องจากเป็นของล้ำค่ามากและหาได้ยากยิ่ง จึงพระราชทานแก่บุคคลสำคัญในวงจำกัด คือพระบรมราชินี พระวรชายา พระมเหสี พระสนมเอก ที่ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ แต่เพราะเป็นพระที่ล้ำค่าและงดงามมากจึงเป็นที่ฮือฮาที่พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางทั้งหลายต่างปรารถนามีไว้เป็นสิริมงคลแก่ตัว
ความปรารถนาดังกล่าวนั้นกึกก้องไปในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้กระทรวงวังว่าจ้างบริษัทต่างประเทศสร้างพระนพรัตน์ขึ้นเป็นชุด ชุดละ 9 องค์ ซึ่งเดิมทีเข้าใจกันว่ากระทรวงวังได้สั่งการให้พระยาไทรบุรีซึ่งมีฐานะประหนึ่งกรมท่าหน้าและทำการติดต่อกับประเทศในยุโรปมาช้านานแล้วเป็นผู้หาบริษัทมารับจ้าง แต่ระยะหลังนี้ความจึงปรากฏชัดว่ากระทรวงวังได้มอบหมายให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้รับไปดำเนินการเรื่องนี้
เพราะเมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและสมุหกลาโหมแล้วก็ได้รวบอำนาจและดูแลกรมท่ามากำกับดูแลเสียเอง
จนอาจกล่าวได้ว่าอำนาจกำกับดูแลกรมท่าซึ่งเคยอยู่ในบังคับของวังหน้าได้ถูกสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ยึดมากำกับควบคุมเสียเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี