พระสมเด็จที่วังหลวงสร้างและมีผลต่อเนื่องทั้งทางการเมืองและทางพระเครื่องมากที่สุดรุ่นหนึ่งก็คือรุ่นเฉลิมพระปรมาภิไธย จปร. ที่สร้างขึ้นราวปีพ.ศ. 2411 หลังฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 1 ปี และมีต้นแบบมาจากพระสมเด็จวังหลัง
วังหลังได้ร่วมสร้างพระสมเด็จในโอกาสฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 1 ปีใน พ.ศ. 2511 ด้วย เป็นแต่ว่าช่วงเวลานั้นไม่มีกรมพระราชวังหลังแล้ว เพราะนับแต่กรมพระราชวังหลังได้สิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็มิได้สถาปนาเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดขึ้นเป็นที่กรมพระราชวังหลังเลย และมิได้มีการสถาปนาตลอดมา จึงเป็นอันสิ้นสุดกรมพระราชวังหลังตั้งแต่บัดโน้น
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสวยราชย์ จึงไม่มีกรมพระราชวังหลัง บรรดาลูกหลานและบริษัทบริวารทั้งหลายก็กระสานซ่านเซ็น ไปรับราชการอยู่ในที่ต่างๆ ทั้งในวังหลวง วังหน้า สำนักสมเด็จเจ้าพระยา และกรมอื่นๆ ด้วยสภาพเช่นว่านี้จึงทำให้ฐานะของเชื้อสายกรมพระราชวังหลังเดิมไม่ได้มีความมั่งคั่งเหมือนดั่งแต่ก่อน แต่กระนั้นก็ยังมีน้ำใจร่วมถวายความจงรักภักดีคือร่วมสร้างพระสมเด็จในมหามงคลสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เสวยราชย์ครบ 1 ปี
เนื่องจากฐานะทางการเงินไม่ได้มั่งคั่งจึงไม่มีทางที่จะแสวงหามวลสารสำคัญเหมือนกับพระสายวัด สายวัง หรือสายอื่นๆ ได้ การทำพระสมเด็จที่ง่ายที่สุดคือการทำเป็นโลหะที่มีแบบแล้วก็หล่อเอา โดยใช้แบบพระประธานวัดระฆัง และเท่าที่ปรากฏก็ชัดเจนว่าพระสมเด็จที่สายวังหลังสร้างมีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นคือรุ่นที่หล่อจากโลหะ โดยช่างบ้านช่างหล่อเป็นผู้ออกแบบ ถือเอาแบบพิมพ์พระประธานวัดระฆังเป็นแบบหลัก
เนื่องจากเป็นพระสายวังอีกสายหนึ่ง ดังนั้นจึงมีการทำพิเศษเพิ่มเติมคือพระสายวังหลังรุ่นนี้ได้ลงรักปิดทองด้านหน้า และลงรักฝังมุกด้านหลัง โดยใช้มุกจากเวียดนามซึ่งมีราคาถูกกว่ามุกจากเมืองจีนแต่คุณภาพของเนื้อมุกนั้นหยาบและกระด้างกว่า
ทางเชื้อสายกรมพระราชวังหลังคงได้ช่างย่านบ้านพรานนก บ้านช่างหล่อ ในการลงรักฝังมุก ดังนั้นฝีมือจึงหยาบกว่าฝีมือของกรมช่างสิบหมู่ของวังหลวงหรือวังหน้ามากมาย
ลักษณะเด่นพิเศษของพระสมเด็จสายวังหลังคือด้านหลังองค์พระที่ลงรักฝังมุกนั้นมีองค์ประกอบสองส่วน คือลวดลายซึ่งมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด และมีอักษรย่อ จปร. ซึ่งเป็นแบบใหม่ที่ทำขึ้นเป็นครั้งแรก ดังนั้นพระสายวังหลังจึงมีด้านหลังองค์พระแตกต่างจากสายอื่น คือลงรักฝังมุกเวียดนาม ฝีมือหยาบมุกด้าน ลวดลายสี่เหลี่ยมก็หยาบมาก จุดเด่นอยู่ตรงที่ตราพระปรมาภิไธย จปร. ที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก
เพราะแต่ก่อนมานั้นสัญลักษณ์ของสมเด็จพระมหากษัตริย์มักนิยมใช้ตราสัญลักษณ์อย่างอื่น เช่น ช้าง ถุงเงิน ตราแผ่นดิน ตราพระเกี้ยว หรือกระทั่งตราพระมหาพิชัยมงกุฎอันเป็นตราพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่เคยปรากฏว่ามีตราเป็นตัวหนังสือมาก่อนเลย
แต่ดูเหมือนว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อาจมีพระราชดำริเป็นการภายในที่มีพระราชประสงค์จะใช้ตัวหนังสือเป็นตราสัญลักษณ์แทนให้เป็นแบบอย่างยุโรป จึงเคยพบการใช้อักษรย่อ จจ. แทนตราพระปรมาภิไธยมาก่อน ดังนั้น
เมื่อพระสมเด็จสายวังหลังปรากฏขึ้นและวางอักษร จปร. เป็นตราพระปรมาภิไธยเป็นจุดเด่น ว่ากันว่าเป็นที่ต้องพระทัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ยิ่ง
เป็นไปได้ว่าสอดคล้องกับพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนตามพระปรมาภิไธยให้เป็นตัวอักษรและรูปแบบ จปร. ที่วังหลังได้ออกแบบไว้ด้านหลังพระสมเด็จนั้นสวยสง่างาม อาจจะมีลักษณะเป็นสากลในยุคนั้นจึงเป็นที่ต้องพระทัย
และเมื่อมีพระราชนิยมต้องพระทัยในลักษณะนี้ ความก็ทราบไปยังบรรดาข้าราชการขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายด้วย โดยเฉพาะความชัดเจนแห่งพระราชนิยมนั้น
เพราะช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ทางวังหลวงกำลังตกลงว่าจ้างเมืองจีนสร้างเครื่องเคลือบดินเผารูปแบบต่างๆ จำนวนมาก ทั้งถ้วยโถโอชามจานแจกันและอื่นๆ มีลักษณะเป็นเครื่องลายคราม ว่ากันว่ามีพระราชกระแสให้กระทรวงวังใช้ตรา จปร. แบบเดียวกันกับตรา จปร. ด้านหลังพระสมเด็จวังหลังเป็นตราสัญลักษณ์ของเครื่องเคลือบดินเผาทั้งหมด
ดังนั้นพระราชนิยมดังกล่าวจึงเป็นที่ทราบและฮือฮากันโดยทั่วไป และเป็นธรรมดาของระบอบการปกครองในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมี
พระราชนิยมไปในทางใด กระแสนิยมก็จะเป็นไปในทางนั้น
ต่อมาปรากฏว่าเมื่อการว่าจ้างทำเครื่องเคลือบดินเผาสำเร็จจัดส่งเข้ามาที่สยามแล้วก็ได้ใช้ในงานพระราชพิธีต่าง ๆเป็นประจำ และได้พระราชทานบางชิ้นแก่เชื้อพระวงศ์และขุนนางข้าราชการ ตลอดจนทูตต่างประเทศด้วย จึงทำให้ตราพระปรมาภิไธย จปร. ดังกล่าว แม้ว่ายังมิได้ประกาศใช้เป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเป็นตราพระปรมาภิไธยกึ่งทางการเป็นปกติแล้ว
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชนิยมเช่นนั้น กระทรวงวังซึ่งกำลังทำพระสมเด็จหลายเนื้อและมวลสารหลายชนิด จึงได้นำแบบด้านหลังพระสมเด็จวังหลังมาเป็นแบบด้านหลังพระสมเด็จวังหลวงที่ทำขึ้นด้วย
แต่เนื่องจากกรมช่างสิบหมู่ของกระทรวงวังนั้นมีฝีมือช่างจัดจ้านนัก ดังนั้นแม้ว่าจะใช้มุกเวียดนามซึ่งเป็นมุกด้าน ราคาถูกกว่ามุกเมืองจีน แต่ฝีมือแกะสลักก็ประณีตกว่าพระสมเด็จวังหลังมากมายนัก
ลายรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดด้านหลังพระและตราพระปรมาภิไธย จปร. ด้านหลังองค์พระก็งดงามเด่นชัดคมกริบ และน่าสังเกตว่าสีขาวของมุกเวียดนามที่ใช้ทำพระรุ่นนี้มีสีออกไปทางสีเหลือง ซึ่งต้องถือว่าเป็นมุกที่มีราคาสูงกว่ามุกที่มีสีขาว เพราะเป็นมุกที่เกิดและเติบโตในระดับน้ำลึกระดับกลางจึงทำให้มีสีแกมเหลือง และมุกสีเหลืองก็คือมุกที่เกิดและเติบโตในระดับน้ำเดียวกันนี้
ดังนั้นสีของมุกของพระสมเด็จวังหลวงรุ่นนี้ ทั้งลวดลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด และลายตราพระปรมาภิไธย จปร. แม้เป็นมุกเวียดนามแต่ก็มีสีออกแกมเหลืองคมชัดงดงามเป็นพิเศษ
หลังจากนั้นอีกหลายปีจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ตราพระปรมาภิไธย จปร. เป็นตราพระปรมาภิไธยประจำรัชกาล โดยประดับพระมหาพิชัยมงกุฎไว้ด้านบน และเป็นต้นแบบของตราพระปรมาภิไธยที่ใช้ตัวอักษรสามตัวประกอบพระมหาพิชัยมงกุฎมาจนถึงปัจจุบันนี้
พระสมเด็จวังหลัง ด้านหลังจะระบุ พ.ศ. 2411 และพระสมเด็จวังหลวงรุ่นนี้ก็ระบุ พ.ศ. 2411 ไว้ด้านหลังเช่นเดียวกัน ทั้งที่สร้างขึ้นหลังการครองราชสมบัติ 2 ปีแล้ว ก็พอเห็นเจตนาได้ชัดว่าเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการฉลองครองสิริราชสมบัติ 1 ปีเช่นเดียวกัน
เซียนพระบางคนเข้าใจผิดกล่าวว่าพระรุ่นนี้เป็นพระปลอม โดยอ้างเอาเวลาที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ตราพระปรมาภิไธย จปร. เป็นหลัก ซึ่งมีขึ้นในราว พ.ศ. 2427 และอ้างว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ตราพระปรมาภิไธย จปร. ในปี พ.ศ. 2411 จึงชี้ว่าเป็นพระปลอม แท้จริงเป็นความเข้าใจผิด เพราะลายพระปรมาภิไธยดังกล่าวต้นแบบคือพระสมเด็จวังหลัง ส่วนของวังหลวงนั้นทำเลียนแบบของวังหลังในปี พ.ศ. 2412 และเป็นช่วงหลังจากการทำเครื่องลายครามที่มีตรา จปร. ดังกล่าวแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นต้นแบบของตราพระปรมาภิไธยที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ในภายหลัง โดยเพิ่มเติมพระมหาพิชัยมงกุฎประดับไว้ด้านบน ดังที่ปรากฏแบบอย่างมาจนถึงปัจจุบันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี