ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีคนเรียนหนังสือเก่งมากมาย คนส่วนใหญ่ที่สอบเข้าไปเรียนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ (เน้นเฉพาะคนที่สอบเข้าไปเรียนได้ด้วยความสามารถของตนเท่านั้น ไม่นับรวมคนจำพวกที่พ่อเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วพ่อสั่งให้คนในกำกับไปขโมยข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปให้ลูกสาวคนเล็กของนายกรัฐมนตรี
ดูคำตอบ จนในที่สุด สามารถเข้าไปเรียนต่อในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้) คือคนที่ได้รับการยกย่องว่ามีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาด แต่ทว่าคนเฉลียวฉลาดนั้นไม่ได้หมายความว่าทุกคนมีความกล้าหาญ กล้าหาญในที่นี้คือกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ชอบธรรม และปกป้องผลประโยชน์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผลประโยชน์สาธารณะ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีปัญหาต่างๆ นานา เกิดขึ้นมายาวนาน และบางปัญหาก็เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการทุจริตภายในองค์กร แต่ทว่าปัญหาต่างๆ นั้นไม่ค่อยเป็นที่รับรู้ของสาธารณชน แม้กระทั่งคนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยกันเองก็ไม่ค่อยจะได้รับรู้มากนัก ซึ่งเรื่องเช่นนี้ อาจเป็นเพราะผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาที่เกิดกับจุฬาลงกรณ์ฯ จึงเก็บ ดอง และหมักหมมปัญหาต่างๆ มาโดยตลอด กับอีกปัจจัยหนึ่งคือคนในจุฬาลงกรณ์ฯ ไม่เคยสนใจปัญหาภายในบ้านของตนเอง แต่ทว่าบางคนกลับดีแต่มองไปนอกบ้านของตน แล้วแส่ส่ายแกว่งไปมาเพื่อหาแสงให้ตนเอง ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าอดสูยิ่งที่ไม่มีปัญญาแก้ปัญหาในบ้านของตน แต่ทำสู่รู้อวดดีวางมาดตีฝีปากว่าจะออกไปแก้ปัญหาให้กับองค์กรภายนอก หรือทำเป็นปากเก่งว่าจะแก้ปัญหาให้สังคม
ดังนั้น สาธารณชนจึงเห็นมาโดยตลอดว่าคนในจุฬาลงกรณ์ฯ จำพวกช่างพูด จอมจำนรรจา แสนรู้จึงชอบออกไปพูดเรื่องอื่นๆ ที่บังเกิดในสังคมตลอดเวลา แต่กลับหุบปากเงียบเมื่อภายในจุฬาลงกรณ์ฯ มีปัญหาสารพัดปัญหารุมเร้า
เป็นเรื่องน่าขบขันที่คนสอนหนังสือในจุฬาลงกรณ์ฯ บางรายประกาศว่าสังคมต้องตรวจสอบทรัพย์สมบัติของพระมหากษัตริย์ และบางรายก็บอกว่าต้องแก้ไขมาตรา 112 แต่ทว่าคนสอนหนังสือในจุฬาฯ จำพวกหิวแสงไม่กล้าตรวจสอบทรัพย์สินภายในของจุฬาฯไม่กล้าตั้งคำถามเกี่ยวกับการทุจริตในสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาฯ ไม่กล้าตั้งคำถามในประเด็นที่ชวนให้สงสัยว่าผู้บริหารจุฬาฯ บางคนมีพฤติกรรมเข้าข่ายทุจริต และไม่กล้าพูดแม้กระทั่งเรื่องที่ผู้บริหารจุฬาฯ บางคนต้องติดคุกเพราะเหตุทุจริตในจุฬาฯ แต่คนสอนหนังสือในจุฬาฯบางรายกลับสนับสนุนให้นิสิตชักธงดำขึ้นสู่ยอดเสาธงของจุฬาฯ เป็นต้น
ในยามนี้ จุฬาฯ กำลังอยู่ในช่วงสรรหาอธิการบดี ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดประเด็นปัญหาที่ดินของจุฬาฯ (ปัญหานี้คาราคาซังมากว่า 20 ปีแล้ว) ในความเป็นจริงอุเทนถวายเช่าที่ดินของจุฬาฯ เป็นที่ทำการมาโดยตลอด แต่อุเทนถวายกลับบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้วอ้างว่าที่ดินเป็นของตนเอง แถมยังบิดเบือนอีกว่าที่ดินที่อุเทนถวายตั้งอยู่ในขณะนี้ ได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เรื่องรัชกาลที่ 6 พระราชทานที่ดินให้ตั้งอุเทนถวายเป็นเรื่องมดเท็จทั้งสิ้น เรื่องนี้มีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามที่อุเทนถวายพยายามบิดเบือน แต่ที่น่าสนใจคืออธิการบดีจุฬาฯ คนล่าสุด คือบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ไม่แสดงความพยายามใดๆ ที่จะปกป้องผลประโยชน์ของจุฬาฯ แม้แต่น้อย หากบัณฑิตจะอ้างว่ากำลังจะพ้นจากตำแหน่งอธิการบดีของจุฬาฯ ก็อ้างไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร บัณฑิตก็ยังคงทำหน้าที่อธิการบดีของจุฬาฯ อยู่
ส่วนรองอธิการบดีของจุฬาฯ ทุกคน ที่มีรวมๆ กันแล้วเป็นโขยง ก็ไม่เคยสนใจปกป้องผลประโยชน์ของจุฬาฯ เช่นกัน รองอธิการบดีจุฬาฯ มีรวมกัน 9 ราย แต่ไม่มีใครกล้าปกป้องผลประโยชน์จุฬาฯ เลยแม้แต่รายเดียว จนทำให้สาธารณชนวิพากษ์ว่าคงจะเป็นห่วงแค่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้นจึงไม่ปกป้องผลประโยชน์จุฬาฯ
ส่วนตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดีจุฬาฯ อีก 24 รายก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ที่จะออกมาปกป้องผลประโยชน์ของจุฬาฯจึงทำให้สาธารณชนวิพากษ์ว่าการมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารจุฬาฯ ไม่ได้ทำให้คนเหล่านั้นมีสำนึกปกป้องผลประโยชน์และเกียรติภูมิของจุฬาฯ เลยแม้แต่น้อย
ปัญหาเรื่องที่ดินเช่าที่อุเทนถวายเช่าจากจุฬาฯ เป็นเรื่องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน เรื่องนี้ผู้บริหารจุฬาฯ ต้องใส่ใจและต้องเอาเป็นธุระสำคัญ ไม่ใช่ทอดหุ่ย
ลอยชายเอาตัวรอดไปวันๆ เท่านั้น อย่ามาอ้างว่าเป็นปัญหาที่ตกค้างมาจากผู้บริหารจุฬาฯ ในยุคก่อนๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดมาตั้งแต่ยุคใดสมัยใดก็ตาม ผู้บริหารจุฬาฯ ก็ไม่มีสิทธิอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะการเป็นผู้บริหารจุฬาฯ คือการเข้ามาพัฒนาจุฬาฯ และแก้ปัญหาของจุฬาฯ หากคิดว่าเข้ามาเป็นผู้บริหารจุฬาฯ แล้วไม่มีปัญญาแก้ปัญญาของจุฬาฯ ก็ไม่สมควรจะเข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่วันแรกแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของความละอายที่ผู้บริหารจุฬาฯ จำเป็นต้องมีให้มาก
ลองสังเกตดูจากข่าวต่างๆ ที่ถูกนำเสนอในประเด็นที่ดินเช่าซึ่งอุเทนถวายเช่าจากจุฬาฯ จะเห็นว่าเป็นข่าวใหญ่มากข่าวหนึ่งของสังคมไทยในยุคนี้ แต่ทว่าไม่ปรากฏว่ามีผู้บริหารจุฬาฯ รายใดกล้าให้สัมภาษณ์กับรายการข่าวใดๆ แม้แต่รายการเดียว โดยเฉพาะไม่ปรากฏว่าบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาฯ จะกล้าให้ข้อมูลใดๆ ในเรื่องที่ดินเช่าของจุฬาฯ
ถามว่าบัณฑิตไม่รู้เรื่องราวที่ดินเช่าที่จุฬาฯ ให้อุเทนถวาย เช่า กระนั้นหรือ หากบัณฑิตจะอ้างว่าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ก็ต้องบอกว่าเป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงมากที่สุดของบัญฑิต แต่ในความเป็นจริงบัณฑิตต้องรับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่บัณฑิตคงจะอ้างว่าในเดือนพฤษภาคมนี้ ก็จะหลุดพ้นจากตำแหน่งอธิการบดีจุฬาฯ ที่บัณฑิตครองตำแหน่งมาสองสมัย เป็นเวลาแปดปีแล้ว เพราะฉะนั้น โยนปัญหานี้ให้อธิการบดีจุฬาฯ คนใหม่รับไปแก้ก็แล้วกัน หากตอบแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นคำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุด
สำหรับผู้ที่กำลังชิงตำแหน่งอธิการบดีจุฬาฯ ต่อจากบัณฑิต ซึ่งเท่าที่ปรากฏชื่อคือ สุพจน์ เตชวรสินสกุล จากวิศวกรรมศาสตร์ พรอนงค์ อร่ามวิทย์ จากเภสัชศาสตร์
วิเลิศ ภูริวัชร จากพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี พรชัย จันศิษย์ยานนท์ จากทันตแพทยศาสตร์ และบุษกร บิณฑสันต์จากศิลปกรรมศาสตร์ ก็ไม่ปรากฏว่าบุคคลที่ต้องการจะเข้าไปเป็นอธิการบดีจฬาฯ คนใหม่ จะกล้าแสดงจุดยืนที่ชัดเจนเรื่องที่ดินเช่าของจุฬาฯ แต่ประการใด ทุกคนสนใจแค่เพียงขอให้ได้เป็นอธิการบดีจุฬาฯ เท่านั้น ส่วนเรื่องปกป้องผลประโยชน์จุฬาฯ เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากการได้เป็นอธิการบดี
อันที่จริงจะต้องกล่าวถึงความรับผิดชอบของกรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย เพียงแต่ว่าในวันนี้ไม่มีพื้นที่พอให้เขียนถึงแล้ว จึงจะต้องขอยกไปเขียนในสัปดาห์ต่อๆ ไป
อย่างไรก็ตาม ต้องกล่าวว่า ผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพันธกิจสำคัญประการหนึ่งคือดูแลและรักษาผลประโยชน์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และต้องย้ำว่าการเข้าไปรับหน้าที่ผู้บริหารจุฬาฯ คือการเข้าไปสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้กับจุฬาฯ ทั้งนี้ จำเป็นต้องกล่าวให้ชัดคือ หากผู้บริหารจุฬาฯ รายใด เข้าไปมีตำแหน่งในจุฬาฯ แล้วไม่สามารถพัฒนาจุฬาฯ ได้ แต่ทว่ากลับทำให้จุฬาฯ ตกต่ำ เสื่อมทรุด ก็เท่ากับประจานตัวผู้บริหารเองโดยปริยาย
ส่วนผู้ที่จะเข้าไปรับหน้าที่ผู้บริหารจุฬาฯ ก็จำเป็นต้องแสดงความกล้าหาญในการปกป้องผลประโยชน์ของจุฬาฯ ด้วย ขออย่างได้คิดแค่เพียงต้องการได้ตำแหน่งผู้บริหารจุฬาฯ ไว้เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนทั้งด้าน in cash and in kind คือทั้งเงินและทั้งกล่อง ขอให้สำเหนียกไว้ว่าการเข้าไปเป็นผู้บริหารจุฬาฯ ได้ก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้จุฬาฯ พัฒนา ก้าวหน้า ก็เท่ากับเข้าไปเพื่อทำลายจุฬาฯ เท่านั้น ซึ่งการกระทำเช่นนั้นก็คือการทำลายตัวเองด้วยเช่นกัน
ในยามนี้ ประชาคมจุฬาฯ และสาธารณชนกำลังเฝ้ารอว่าจะมีผู้บริหารจุฬาฯ คนไหนบ้างที่มีความกล้าหาญ กล้าปกป้องผลประโยชน์ของจุฬาฯ และกล้าต่อสู้เพื่อ
ความจริง ความเป็นธรรมของสังคม
ทั้งนี้ ผู้เขียนขอบอกว่าเข้าใจและเห็นใจที่คนอุเทนถวายย่อมมีความผูกพันกับที่ดินตรงนี้ เพราะอยู่กันมานาน แต่ก็ต้องขอบอกตรงๆ ว่า ขอให้เคารพและยึดมั่นในข้อเท็จจริงทั้งปวง ขออย่าได้บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของปัญญาชนที่แท้จริง ไม่ว่าปัญญาชนนั่นจะเป็นปัญญาชนในสถาบันการศึกษาใดๆ ก็ตาม สาระสำคัญอย่างหนึ่งของปัญญาชนคือการยึดมั่นในข้อเท็จจริงและยึดข้อเท็จจริงเป็นสรณะตลอดไป
ส่วนคนที่อ้างว่าเป็นคนจุฬาฯ แต่กลับไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่ทว่าชอบให้ข่าวไปเรื่อย ชอบให้สัมภาษณ์ เพราะคิดว่าการเป็นข่าวคือการเพิ่มแสงให้กับตนเอง แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งพูด ก็ยิ่งผิด คนแบบนี้ก็ต้องสำเหนียกตัวเองให้มากเช่นกัน เพราะตนเองคนคืนที่กลวง ปราศจากข้อมูลจริง แต่ทำให้สังคม (โดยเฉพาะคนที่ปัญญาเบา) เกิดความสับสน แล้วก็ต้องบอกไปยังเหล่าสื่อมวลชนที่ชอบทำรายการแบบที่เน้นแค่เอามัน เพื่อความสะใจของคนทำรายการ หรือเจ้าของสถานีข่าว โดยปราศจากความใส่ใจในข้อเท็จจริง และไม่ต้องการหาทางออกให้สังคม แต่กลับยิ่งทำให้สังคมสับสนหนักมากขึ้นไป ก็ควรจะต้องลดความจงใจที่ต้องการทำลายล้างสังคมลงด้วย เพราะการเป็นสื่อฯ แต่สัมภาษณ์คนที่ไม่มีความรู้จริงในเรื่องนั้นๆ คือการประจานให้สังคมเห็นว่าสื่อฯ จำพวกนั้น ไม่มีสติปัญญา ปราศจากความรับผิดชอบต่อสังคม และจงใจทำให้สังคมเกิดความสับสนโกลาหล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี