พระสมเด็จสายวังอีกรุ่นหนึ่งซึ่งยังมีความสับสนกันอยู่ คือพระสมเด็จสายรุ้งของวังหลวง กับพระสมเด็จเนื้อเบญจรงค์หรือพระสมเด็จสีรุ้งของวังหน้า ที่ยังสับสนกันอยู่ กระทั่งเข้าใจว่าเป็นพระแบบเดียวกัน หรือสร้างที่เดียวกัน ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
พระสมเด็จสีรุ้งหรือที่เรียกว่าพระสมเด็จเนื้อเบญจรงค์นั้นเป็นพระสมเด็จของวังหน้า ที่สร้างขึ้นรุ่นเดียวกับพระสมเด็จรุ่นสองแผ่นดิน ซึ่งใช้มวลสารเป็นดินจากบ่อดินเมืองกังไส 400 บ่อ ซึ่งมีสีสันต่างๆ กัน แต่ละองค์ก็มีสีสันตามเนื้อดินนั้น ในขณะเดียวกัน ยังมีมวลสารที่มีเนื้อดินจากมณฑลเจียงซี ซึ่งเป็นดินที่มาจากภูเขาสีรุ้งที่มีสีสันหลายสีตามธรรมชาติ เป็นเทือกเขาใหญ่ มีอายุกว่า 2 ล้านปีแล้ว ยังปรากฏลักษณะเด่นชัดอยู่ถึงปัจจุบันนี้
มวลสารที่ใช้ดินจากมณฑลเจียงซีซึ่งมี 5 สี เป็นเนื้อเดียวกันอยู่ ดังนั้นเมื่อมาทำเป็นพระสมเด็จแล้วจึงมีสี 5 สี อยู่ในองค์เดียวกัน จึงเรียกว่าเนื้อเบญจรงค์หรือเนื้อสีรุ้ง ซึ่งต้องถือว่าเป็นพระสมเด็จวังหน้า เป็นพระสมเด็จรุ่นเดียวกันกับพระสมเด็จรุ่นสองแผ่นดินที่ใช้มวลสารดินจากเมืองกังไส 400 บ่อ
ต่างกันตรงที่พระที่ใช้มวลสารจากดินเมืองกังไสนั้นแต่ละองค์มีสีเดียว ในขณะที่พระที่ใช้มวลสารจากดินจากภูเขา 2 ล้านปีจากมณฑลเจียงซีนั้นแต่ละองค์มีสี 5 สีอยู่ด้วยกัน จึงได้ชื่อว่าเนื้อเบญจรงค์หรือเนื้อสีรุ้ง
ทั้งพระสมเด็จรุ่นสองแผ่นดินที่ใช้ดินจากเมืองกังไสและดินจากมณฑลเจียงซีนั้นเป็นส่วนของพระที่สร้างขึ้น 84,000 องค์ เพื่อบรรจุกรุพระธาตุพนมวังหน้า และเข้าพิธีปลุกเสกพร้อมกันเป็นพิธีมหาพุทธาภิเษก ดังนั้นแม้เป็นพระสมเด็จวังหน้าด้วยกัน รุ่นสองแผ่นดินด้วยกัน และใช้มวลสารจากเมืองจีนด้วยกัน แต่ก็มีความต่างกันบ้างดังได้กล่าวมาแล้วนั้น
ส่วนพระสมเด็จสายรุ้งนั้นเป็นพระสมเด็จวังหลวงที่สร้างขึ้นหลังจากเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ละสังขารในปี พ.ศ. 2415 แล้ว มวลสารที่ใช้ทำพระรุ่นนี้คือมวลสารเดิมของพระสมเด็จรุ่นสองแผ่นดิน คือเป็นมวลสารที่เป็นดินจากเมืองกังไส 400 บ่อ ซึ่ง
แต่ละบ่อก็มีสีธรรมชาติไม่เหมือนกัน
หลังจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสิ้นพระชนม์แล้ว นอกจากพระสมเด็จรุ่นสองแผ่นดินที่พิมพ์แบบไปแล้ว บรรดามวลสารและข้าวของอย่างอื่นที่เตรียมนำมาสร้างพระ ไม่ว่าเป็นมวลสารดินจากเมืองกังไสที่เหลืออยู่ก็ดีก้อนแก้วโมราก็ดี หรืออัญมณีต่างๆ ก็ดี ที่หัวบ้านหัวเมืองและประเทศราชส่งเข้ามาร่วมทำบุญนั้นก็ถูกขนเข้าไปไว้ที่กรมช่างสิบหมู่ กระทรวงวัง เพื่อรอการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2408 ช่วงต้นปี ซึ่งถ้าเทียบกับปฏิทินปัจจุบันก็ต้องถือว่าย่างเข้าปี พ.ศ. 2409 แล้ว ก็ไม่โปรดให้สถาปนาวังหน้า จนกระทั่งปีพุทธศักราช 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยสิริราชสมบัติ ช่วง 3 เดือนแรกก็ไม่โปรดให้สถาปนาวังหน้า จนกระทั่งมีแรงกดดันทางการเมืองจากผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จึงมีการสถาปนาพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศพระราชบุตรในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นที่วังหน้า ทรงพระนามว่าสมเด็จกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
จนกระทั่งเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ละสังขารในปีพุทธศักราช 2415 ดินจากเมืองกังไสทั้ง 400 บ่อ ที่นำมาเก็บไว้ที่กระทรวงวังก็ยังมิได้ดำเนินการใดๆ จนกระทั่งเจ้าประคุณสมเด็จละสังขารไปนานปีแล้ว พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามชำรุดทรุดโทรมลง จึงมีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และมีดำริให้มีการสร้างพระ 84,000 องค์ ขึ้นบรรจุกรุเพื่อเป็นอนุสรณ์การบูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดารามในครั้งนี้ด้วย
ดังนั้นจึงมีการนำมวลสารดินจากเมืองกังไสมาเป็นมวลสารหลักในการสร้างพระดังกล่าว แต่แทนที่จะแยกเป็นบ่อๆ บ่อละสี เพื่อให้พระมีสีต่างๆ กันองค์ละสีเช่นเดียวกับพระสมเด็จวังหน้ารุ่นสองแผ่นดิน ก็มีการนำมวลดินทั้งหมดมาผสมปนกันกับผงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แต่ปรากฏว่าดินจากบ่อต่างๆ ของเมืองกังไสนั้นไม่เข้ากัน เมื่อผสมเข้าด้วยกันจึงมีหลายสี จึงเป็นที่มาของการเรียกพระสมเด็จรุ่นนี้ว่าพระสมเด็จสายรุ้ง และทำพิธีปลุกเสกใหญ่ จากนั้นก็บรรจุกรุไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม รวมทั้งจัดเก็บไว้ในอีกหลายสถานที่ในพระอุโบสถ
จนกระทั่งมีการบูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดารามอีกครั้งหนึ่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานในการบูรณะดังกล่าวนี้ก็มีการรื้อหรือสำรวจเอาสิ่งของต่างๆ ที่บรรจุกรุไว้มาดำเนินการด้วย ปรากฏว่ามีพระสมเด็จสายรุ้งที่บางส่วนจัดเก็บไว้บนผนังเพดานถูกช่างจำนวนหนึ่งลักลอบใส่ปิ่นโตเอาออกมาภายนอก และมาแพร่หลายในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในหมู่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งในครั้งนั้นกำลังมีการชุมนุมเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณกันเป็นการใหญ่
พระสมเด็จสายรุ้งดังกล่าวจึงแพร่หลายออกสู่สาธารณะในยุคปัจจุบันนี้มาตั้งแต่บัดนั้น แบบพิมพ์พระรุ่นนี้เกือบทั้งหมดเป็นแบบพระแก้ว และแบบพระประธานวัดระฆัง มีพบบ้างที่เป็นแบบพิมพ์สุโขทัยหรือทรงเจดีย์ เพราะเหตุที่มีการลักลอบนำออกมาภายนอกโดยพวกช่างที่แอบใส่ปิ่นโตออกมา บางครั้งก็เรียกว่าสมเด็จปิ่นโต
พระสมเด็จรุ่นนี้สร้างขึ้นหลังจากเจ้าประคุณสมเด็จดับขันธ์ไปแล้วนับสิบปี แต่การทำพิธีปลุกเสกก็ยังคงนิมนต์พระจากวัดระฆัง ซึ่งช่วงนั้นก็ยังมีศิษย์ของเจ้าประคุณสมเด็จ โดยเฉพาะสมเด็จเจริญเป็นประธานสงฆ์ในพิธีปลุกเสก และใช้พระคาถาชินบัญชรปลุกเสกตามแบบแผนการปลุกเสกของวัดระฆังตามแบบเดิม
เพราะเหตุนี้จึงพึงเข้าใจว่าพระสมเด็จสีรุ้งหรือพระสมเด็จเบญจรงค์ของวังหน้านั้นเป็นคนละรุ่นที่สร้างคนละวาระกับพระสมเด็จสายรุ้งของวังหลวง ที่สร้างขึ้นหลังจากเจ้าประคุณสมเด็จละสังขารไปแล้ว แต่ก็คงความศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธานุภาพมากไม่ต่างกัน
ได้พรรณนาเรื่องการเมือง...เบื้องหลังพระสมเด็จต่อเนื่องมาแล้วถึง 29 ตอน สมควรจะจบเรื่องนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ จะได้พรรณนาในเรื่องอื่นต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี