การเลือกตั้งเป็นหนทางและเป็นกรรมวิธีการคัดสรรคนดีได้จริงๆ หรือ หากการเลือกตั้งทำให้ได้คนดีโดยแท้จริงแล้ว โลกมนุษย์คงไม่มีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการนาซีขึ้นไปมีอำนาจรัฐ แล้วก่อเหตุโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิว แล้วจงใจก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็ต้องไม่ทำให้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่แสนโง่เขลาเบาปัญญาจำนวนไม่น้อย
อันที่จริง การเลือกตั้งเป็นเพียงกลไกหนึ่งในการคัดสรรบุคคลเข้ารับตำแหน่งใดๆ ตามที่มนุษย์สมมุติขึ้น แต่ปัญหามันอยู่ที่คุณสมบัติของผู้เสนอตัวเข้ารับการคัดเลือก และยังมีปัญหาอื่นๆ อีก ได้แก่ ความฉลาด ความยั้งคิดในการเลือกของผู้มีสิทธิเลือก
หากผู้เสนอตัวเข้ารับการสรรหา หรือเลือกตั้งเป็นคนเลวทรามต่ำช้า ไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรม หน้าด้านหน้าทนไร้ศีลไร้สัตย์ ไร้หิริโอตัปปะเสียแล้ว ก็ไม่มีวันได้คนดีเข้าไปทำหน้าที่ตัวแทนของผู้มีสิทธิเลือก
แล้วถ้ายิ่งผสมด้วยความโง่เขลา ไร้ปัญญา ไร้สติ แถมยังเต็มไปด้วยความเห็นแก่ได้ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ก็หมายความว่ากระบวนการเลือกตั้ง หรือสรรหาบุคคลเข้าไปทำหน้าที่ใดก็ตาม ไม่ว่าจะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) นายกองค์การบริหารส่วนตำบล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือแม้แต่กระทั่งบรรดานายกเทศบาล เทศมนตรี และสารพัดตำแหน่ง ก็จะไม่มีวันได้คนดี มีศีลธรรม มีความดี ความละอายเข้าไปเป็นตัวแทนอย่างแน่นอน
ขอถามย้ำอีกครั้งว่า การเลือกตั้ง สส. และการเลือกสรร สว. ของไทย ทำให้สังคมไทยได้คนดี มีความรู้ความสามารถแท้จริงเข้าไปเป็นตัวแทนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจริงๆ หรือ แม้การสรรหา สว. ในครั้งนี้ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชนผู้มีสิทธิ์ แต่ก็ต้องย้อนถามไปถึงคราวที่มีการเลือกตั้ง สว. ถามว่าการเลือกตั้ง สว. ของไทยทำให้ได้คนดีแท้จริงเข้าไปทำหน้าที่วุฒิสมาชิก กระนั้นหรือ ต้องบอกว่าไม่เลย เพราะในครั้งนั้นก็ได้บังเกิดสภาผัวสภาเมีย โดยเมียเป็น สส. ผัวเป็น สว. หรือกลับกัน แล้วยังได้พบเห็นลูกเป็น สส. แม่หรือพ่อเป็น สว. ซึ่งนับเป็นความวิบัติของการเลือกตั้งไทยอย่างชัดเจนที่สุด
ในยามนี้มีคำถามผสมกับการกดดันจากเหล่าบรรดานักการเมืองที่เชียร์แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย รวมถึงยังมีกลุ่มคนจากแวดวงคนสอนวิชารัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยบางแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วยังมีเหล่าบรรดานักพล่ามเพ้อตามหน้าจอทีวี จอสมาร์ทโฟนที่ดาหน้าออกมาบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แล้วเหตุใดจึงมีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรี ยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธิ์การเมืองนักการเมือง โดยอ้างแบบเพ้อเจ้อว่า คนไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีสิทธิ์ถอดถอนนายกรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิ์ยุบพรรคการเมือง และไม่มีสิทธิ์ตัดสิทธิ์นักการเมือง
คำพูดที่ว่านายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนไม่ควรถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียง 9 คนตัดสินให้ต้องยุติการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี และต้องไม่ให้ตุลาการศาลฯ มีอำนาจปลดหรือถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นคำพูดของคนจำพวกดัดจริตโดยแท้
ขอบอกว่าการอ้างดังกล่าว เป็นการอ้างที่แสนจะดัดจริตมาก เพราะว่ากันตามจริงแล้ว นายกรัฐมนตรีไทยไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่มาจากการเลือกสรรกันเองภายในหมู่ สส. พรรครัฐบาล หรือพรรคร่วมรัฐบาล
แน่นอนว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่มาจากระบบการคัดสรรโดยผู้มีอำนาจคัดสรร ย้ำว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มาจากก้อนเมฆ แต่มาจากการเลือกสรรจากเหล่าบรรดาผู้มีความรู้ความชำนาญโดยตรงในเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งผิดจากการหลับหูหลับตาเลือกสรรนายกรัฐมนตรี รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีสารพัดกระทรวง
มีคำถามต่อไปว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ในการพิพากษาพิจารณาคดีที่มีผู้ร้องเรียน ใช่หรือไม่ ตอบว่า ใช่อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจโดยแท้ แล้วก็เป็นไปตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (check and balance) เพื่อคานอำนาจระหว่างบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
ขอถามบรรดาดัดจริตชนว่า มีประเทศไหนบ้างที่ให้ประชาชนลงคะแนนเลือกตั้งตุลาการ หรือผู้พิพากษา ข้อย้ำว่าคำถามนี้ฝากไปถามโดยตรงกับบรรดาคนสอนกฎหมายที่ดัดจริตบอกว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องไม่มีอำนาจสั่งถอนถอนนายกรัฐมนตรี หรือยุบพรรคการเมือง
ถามจริงๆ เถอะ คนสอนกฎหมายจำพวกดัดจริตไม่รู้จริงๆ หรือว่ากระบวนการคัดสรรเลือกเฟ้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร จะบอกให้รู้เพื่อเอาบุญก็ได้ว่าการคัดสรรตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีความเข้มข้นและมีมาตรฐานมากกว่าการเลือกเอาคนเข้าไปสอนกฎหมายหลายเท่านั้น อย่าว่าแต่เลือกคนสอนกฎหมายเลย ต่อให้เลือกสรรผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี หรืออธิการบดีก็ยังไม่มีความเข้มข้นเสมอเหมือนกับการเลือกสรรตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
คนสอนกฎหมายไม่น่าโง่เลย เพราะหากคนโง่เข้าไปสอนกฎหมาย ก็หมายความว่าคนเรียนด้วยต้องโง่ยิ่งกว่าหลายเท่า เมื่อคนสอนและคนเรียนกฎหมายจำนวนไม่น้อยโง่เขลาแล้ว ประเทศไทยจะมีหลักนิติรัฐได้อย่างไร อันที่จริงคนสอนกฎหมายนั้นต่อให้โง่บ้างในบางกรณี แต่ก็ต้องไม่โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าการพิจารณาคดีความใดๆ ล้วนต้องอาศัยตัวบทกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญ ไม่มีตุลาการฯ คนไหนที่ตัดสินตามอำเภอใจ ซึ่งต่างพวกที่สอนกฎหมายแล้วออกไปพล่ามตามทีวี และคลื่นวิทยุช่องต่างๆ รวมถึงรายการ online ต่างๆ ที่มีล้นเกลื่อนกลาดทั่วประเทศไทย
ตัวบทกฎหมายที่นักกฎหมายใช้มาจากสภานิติบัญญัติ ใช่ไหม แล้วถามต่อไปว่าสมาชิกสภานิติบัญญัติมาจากไหน ลอยมาจากก้อนเมฆหรือ เปล่าเลยเขาเหล่านั้นมาจากการเลือกของประชาชนผู้มีสิทธิ์ แน่นอนว่าในบางยุคประเทศไทยก็ไม่มี สส. แต่การจะออกกฎหมายใดๆ จากรัฐสภาก็ต้องผ่านกระบวนการให้ความเห็นชอบจากประชาชนอยู่ดี ไม่มีกฎหมายใดออกมาโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชน
บ้านเมืองไทยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บทสำคัญของประเทศ ถามว่ารัฐธรรมนูญมาจากไหน นายกรัฐมนตรีเขียนขึ้นมาเองหรือ หรือว่าคนทำรัฐประหารเขียนขึ้นมาเอง บ้านเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ แล้วเป็นอย่างไรเล่า บ้านเมืองดีงาม สงบร่มเย็นเพราะรัฐธรรมนูญจริงหรือ หากรัฐธรรมนูญดีจริง ทำไมบ้านเมืองจึงเกิดความโกลาหลเป็นระยะๆ และเป็นประจำ หรือจะบอกว่าต้องให้ประชาชนทุกคนเขียนรัฐธรรมนูญด้วยตัวของเขาเอง ถามว่าจะเอาเช่นนั้นจริงๆ หรือ
ต่อให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญดีงามหรือประเสริฐสักเพียงใด ต่อให้ไปเอารัฐธรรมนูญของสหรัฐ หรือของอังกฤษมาใช้ ก็ไม่ต้องหวังว่าประเทศไทยจะเจริญเหมือนอังกฤษหรือสหรัฐ เพราะว่าคนไทยและนักการเมืองไทยมีลักษณะต่างไปจากคนอเมริกัน และคนอังกฤษ แต่ก็ต้องรู้ว่าเราไม่สามารถเอารัฐธรรมนูญของประเทศไหนๆ บนโลกใบนี้มาใช้กับไทยได้ เพราะมันมีความต่างกันของแต่ละประเทศ
กลับไปที่รัฐธรรมนูญไทย ก็ไหนคนไทยเคยบอกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ดีและวิเศษเสียเหลือเกินอย่างไรเล่า แล้วทำไมจึงเกิดระบอบทักษิณ ชินวัตร ได้หลังจากทักษิณมีอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จไว้ในกำมือตั้งแต่ปี 2544-2549
ขอบอกอีกครั้งว่ารัฐธรรมนูญนั้นต่อให้มันดีวิเศษแค่ไหน แต่หากนักการเมืองที่มีอำนาจรัฐเป็นคนสารเลวเสียแล้ว ไม่มีวันที่รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดจะให้ผลดีกับประเทศนั้นๆ ได้ ไม่ต้องดูอะไรไกลอื่น ดูจากสหรัฐ ในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 ก็เห็นได้ชัดแล้ว
การเลือกตั้งในประเทศไทยคือการฟอกตัวของคนจำพวกหนึ่งที่วนเวียน เวียนว่าย กระเสือกกระสนอยู่ในวงการการเมือง เพราะต้องการได้อำนาจรัฐ แล้วเอาอำนาจรัฐไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะฉะนั้น เราจึงมี สส. หน้าเดิมๆ หรือไม่ก็หน้าใหม่ แต่มาจากโคตรการเมืองเดิมๆ เช่น พ่อแม่แก่จนใกล้ตายไม่สามารถลงรับสมัครชิงตำแหน่ง สส. ได้อีก ก็ส่งทายาทอสูรลงชิงอำนาจแทน หรือไม่ก็เพราะพ่อแม่ติดคดีไม่สามารถลงชิงตำแหน่งได้ จึงต้องให้ทายาทอสูรลงชิงตำแหน่งแทน แต่ทั้งหมดก็คือการเล่นการเมืองแบบโคตรเหง้าของตนเอง
แล้วเมื่อมาเจอกับคนมีสิทธิเลือกตั้งที่ยอมขายเสียงแลกกับเงินบ้าง แลกกับการได้รับความช่วยเหลืออื่นๆ เช่น ฝากลูก ฝากผัวเมีย และญาติๆเข้าทำงาน หรือฝากลูกหลายเข้าเรียนต่อ เป็นต้น เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องมองหาการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมอีกต่อไป แต่ที่ได้เห็นชัดๆ คือเราจึงมี สส. โจร สส. ผัวเมีย สส. พ่อแม่ลูกหลาน และ สส. ขี้ข้านายทุนพรรคการเมือง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กลับไปที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้พิพากษาบนศาลทั้งหลายทั้งปวงของไทย ขอย้ำว่าไม่มีความจำเป็นต้องให้ประชาชนเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้พิพากษา เพราะหากปล่อยให้ประชาชนเลือกก็หมายความว่ากระบวนการยุติธรรมไทยจะล้มเหลว และบรรลัยไม่ต่างจากการเมืองไทย
คนไทยที่มีปัญญาไม่ต้องการตุลาการศาลฯ ผู้พิพากษา ประธานศาลต่างๆ ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะขนาดไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็ยังพบว่ายังมีข่าวเรื่องผู้พิพากษาไม่วางตัวเป็นกลาง มีนอกมีใน มีเหตุทุจริตต่างๆ เป็นประจำ
หากบ้านเมืองไทยของเรามีศาลมาจากการเลือกตั้งรับรองว่าประเทศชาติโกลาหลจนอาจบรรลัยแน่นอน ถามทิ้งท้าย อยากให้ศาลไทยไร้ศักดิ์ศรีเหมือน สส. บางคนและอยากเห็นศาลไทยโกลาหลเหมือนรัฐสภาไทยกระนั้นหรือ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี