ในขณะที่กำลังมีข้อพิพาทหรือถกเถียงกันระหว่าง ส.ป.ก. กับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ว่ามีการรุกล้ำที่กันหรือไม่นั้นนายกรัฐมนตรีก็ได้ชี้นำว่าการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องนี้จะต้องไปใช้One Map ซึ่งกรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม เป็นผู้จัดทำ หลังจากนั้นก็มีข้อถกเถียงอีกว่า One Map ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลบังคับ ซึ่งเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจโดยแท้ ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจเรื่อง One Map สักครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวว่าเมื่อครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นั้น เมื่อมีปัญหาข้อพิพาทระหว่างราษฎรกับรัฐว่าราษฎรบุกรุกที่หลวง ก็ทรงมีพระราชดำรัสถาม
อยู่เนืองๆ ว่ากรณีเป็นเรื่องป่ารุกคนหรือคนรุกป่ากันแน่ ให้ดูกันให้ดี
เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ทรงมีความเชี่ยวชาญเรื่องแผนที่ ดังจะเห็นได้จากเวลาเสด็จพระราชดำเนินไปต่างจังหวัดก็จะทรงพกพาแผนที่ติดพระองค์ไปด้วยเสมอ จึงทำให้พระองค์ทรงมีความกระจ่างแจ้งและรู้ชัดเจนในภูมิประเทศ ตลอดจนระบบแผนที่ ซึ่งทรงเห็นว่าเป็นจุดเริ่มต้นของข้อพิพาทระหว่างรัฐกับราษฎร และระหว่างหน่วยงานของรัฐกับหน่วยงานของรัฐด้วยกัน
และด้วยน้ำพระทัยที่ทรงรักราษฎร จึงทรงตั้งคำถามอย่างนั้นให้ผู้เกี่ยวข้องได้มีสติยั้งคิดก่อนที่จะดำเนินคดีอาญาเอาราษฎรไปติดคุกติดตะราง ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าระบบกฎหมายเรื่องป่าไม้และอุทยานของไทยเรานั้นวิปริตแปรปรวนยิ่งนัก ไม่ตั้งอยู่ในความเป็นจริง
คือป่าไม้ก็ดี อุทยานแห่งชาติก็ดี ไม่ได้ถือเอาป่าไม้เป็นหลัก แต่ถือเอาพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตตามพระราชกฤษฎีกากำหนดพื้นที่ป่าไม้หรืออุทยานเป็นหลัก จากนั้นก็ให้ถือว่าบรรดาดิน หิน กรวด ทราย ต้นไม้ เห็ด และอื่นๆ ในพื้นที่นั้นเป็นป่าด้วย
จึงเกิดกรณีตายายไปเก็บเห็ดแล้วถูกจับในข้อหาทำลายป่า เมื่อตำรวจจับแล้วถามตายายว่าไปเก็บเห็ดจริงหรือไม่เพื่อจะดำเนินคดีฐานตัดไม้ทำลายป่า ตายายซึ่งเก็บเห็ดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กก่อนที่จะกำหนดเขตป่าไม้ ก็เข้าใจว่าเห็ดไม่ใช่ป่าไม้จึงรับสารภาพ ก็ถูกทำสำนวนส่งฟ้องศาล ศาลก็ถามว่าเก็บเห็ดไปจริงหรือไม่ ตายายก็คิดว่าเก็บเห็ดไปกินไม่ใช่เรื่องร้ายแรงก็รับว่าเป็นจริง ในที่สุดก็ถูกตัดสินบุกรุกทำลายป่า ถูกจำคุก 5 ปีบ้าง จำคุก 3 ปีบ้าง เป็นกรณีให้สลดใจกันอยู่เนืองๆ
หรือการกำหนดว่าให้ถือว่าบัวเป็นสัตว์น้ำตามกฎหมายคุ้มครองสัตว์น้ำ ตาแก่คนหนึ่งไปเก็บบัวเพื่อมาทำแกงก็ถูกจับข้อหาทำลายสัตว์น้ำ ในที่สุดก็ถูกจำคุก โดยที่ตาแก่คนนั้นไม่เคยรู้ว่าบัวเป็นสัตว์น้ำ นี่ก็เป็นผลมาจากความวิปริตของกฎหมายหรือบัญญัติวิธีที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง
และที่สำคัญก็คือเขตป่าไม้หรือเขตอุทยานที่กำหนดขึ้นเป็นแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตป่าไม้หรืออุทยานนั้นเป็นแผนที่ที่เขียนขึ้นในห้องแอร์ ไม่ได้ไปเดินสำรวจโดยผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยกำหนดขึ้นว่าพื้นที่ที่จะกำหนดให้เป็นเขตป่าไม้หรืออุทยานนั้นครอบคลุมหมู่บ้าน ตำบล อำเภอใดบ้าง แล้วก็เขียนแผนที่ครอบคลุมหมู่บ้าน ตำบล อำเภอนั้นให้เป็นแผนที่ป่าไม้ตามพระราชกฤษฎีกา โดยใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 หมายความว่าเนื้อที่ตามระวาง 1 เซนติเมตร เท่ากับ 20 กิโลเมตร ดังนั้นเวลาวัดพื้นที่จริง ถ้าจุดตั้งต้นการตั้งกล้องวัดพื้นที่คลาดเคลื่อนไปจากจุดที่ไม่มีการกำหนดไว้เป็นหลักฐานหมุดเขต พื้นที่ก็จะคลาดเคลื่อนถึง 20 กิโลเมตร ลองนึกดูเถิดว่าอเนจอนาถสักปานใด ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้มีข้อพิพาทกันเนืองๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสถามเป็นประจำ แต่ก็หามีผู้ใดแก้ไขไม่
ต่อมาเมื่อมีกฎหมายปฏิรูปที่ดินเมื่อปี พ.ศ. 2518 บรรดาที่ดินทั้งประเทศไทยก็ถูกส่วนราชการต่างๆ ประกาศให้เป็นเขตในอำนาจดูแลไปหมดแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นป่าไม้ วนอุทยาน อุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ ดังนั้นที่ดินใดที่จะเอามาปฏิรูปที่ดินจึงเป็นที่ที่ได้มาจากที่ป่าไม้ วนอุทยาน หรืออุทยานแห่งชาติเดิม ที่เสื่อมโทรมแล้วหรือหมดสภาพเป็นป่าแล้วโดยรัฐบาลด้วยความยินยอมพร้อมใจของกรมป่าไม้หรือกรมอุทยาน ยกให้คืนแก่รัฐเพื่อนำไปปฏิรูปที่ดิน จากนั้นก็จะมีการทำแผนที่ที่จะกันพื้นที่ออกจากป่าไม้ วนอุทยาน หรืออุทยาน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์เดิม เพื่อกำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน แล้วทำรายงานการประชุมพร้อมกันทุกฝ่ายนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ แล้วส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายกร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน โดยมีแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเป็นเขตปฏิรูปที่ดินหรือเขต ส.ป.ก.
เนื่องจากการปฏิรูปที่ดินเกิดขึ้นในภายหลัง ดังนั้นจึงกำหนดอัตราส่วนแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาให้ละเอียดขึ้นกว่าแผนที่เดิม คือใช้มาตราส่วน 1 : 25,000 หรือ 1 เซนติเมตรเท่ากับ 2.5 กิโลเมตร ในขณะที่แผนที่ทางทหารใช้มาตราส่วน 1 : 50,000หรือ 1 เซนติเมตรเท่ากับ 5 กิโลเมตร ซึ่งละเอียดกว่าแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตป่าไม้หรืออุทยานแห่งชาติ
ในขณะที่การรังวัดออกโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้นมีขั้นตอนที่ละเอียด รัดกุม และรอบคอบมากที่สุด คือต้องดำเนินการเดินสำรวจจริงโดยผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย คือราชการส่วนภูมิภาค ราชการปกครองส่วนท้องที่ ราชการส่วนท้องถิ่น ป่าไม้ ส.ป.ก. อุทยาน รวมทั้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงที่ต้องร่วมกันเดินสำรวจจริง เมื่อเห็นว่าถูกต้องพร้อมกันแล้วจึงปักหมุดเขตเป็นแผนที่สำหรับการออกโฉนดที่ดิน โดยใช้มาตราส่วน 1 : 5,000 และเมื่อออกโฉนดที่ดินโดยวิธีการดังกล่าวแล้วก็ถือเป็นเอกสารสิทธิ คือเป็นหลักฐานกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นตามกฎหมาย
แต่ก็ไม่วายที่จะมีข้อพิพาทว่าที่ดินทับซ้อน ดังนั้นในแผ่นดินก่อนจึงให้ใช้แผนที่กลางเป็นแผนที่เปรียบเทียบ คือแผนที่ที่กรมแผนที่ทหารได้ทำขึ้นจากภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งถ่ายจากสภาพพื้นที่จริงโดยดาวเทียม ไม่ใช่เขียนเอาตามแผนที่ในห้องแอร์ โดยถือพื้นที่ตำบล หมู่บ้าน อำเภอดังแต่ก่อน ดังนั้นOne Map หรือแผนที่จริงจึงมีสภาพตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด และเมื่อใช้แผนที่จริงแล้วก็คงเหลือเรื่องมาตราส่วนแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าจะเริ่มต้นลงตัวกันอย่างไรเท่านั้น
กรณีทั้งหลายเหล่านี้จะเห็นได้ชัดว่าไม่มีทางที่ที่ดิน ส.ป.ก. จะไปทับซ้อนหรือบุกรุกที่ป่าหรือที่อุทยานแห่งชาติได้เลย กรณีที่มีการวัดพื้นที่ตามแผนที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตป่าไม้หรืออุทยานแล้วทับซ้อนกับแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินก็เป็นเรื่องของการปักหมุดในการวัดแผนที่ที่อาจจะคลาดเคลื่อนได้ แต่ไม่ใช่เรื่องการบุกรุกหรือทับซ้อน ดังที่พยายามบิดเบือนกันอยู่ในปัจจุบันนี้
ดังนั้นเราทั้งหลายจึงพึงเข้าใจเรื่อง One Map และแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาต่างๆ รวมทั้งมาตราส่วนที่ใช้แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเหตุให้การใช้พื้นที่จริงแตกต่างหรือคลาดเคลื่อนกันได้แต่ไม่ใช่กรณีบุกรุกหรือทับซ้อนกันแต่ประการใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี