วันก่อน หม่อมหลวง ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและประธานผู้แทนการค้าไทย (จากพรรครวมไทยสร้างชาติ) และนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แถลงถึงผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้านการลงทุนและความร่วมมือกับภาคเอกชน
ต่างชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาล
ระบุว่า เอกชนยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนปี 2566 กว่า 8.5 แสนล้านบาท สูงสุดในรอบ 9 ปี เดินหน้าดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ Data Center และ Cloud Service และสำนักงานภูมิภาค พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศต่อไป ฯลฯ
แน่นอน ก็ต้องชื่นชมและให้เครดิตรัฐบาลปัจจุบัน
แต่ต้องไม่ลืมความจริงที่สำคัญ คือ ทั้งหมดนั้น ยิ่งฟังยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่า
สิ่งที่ยกขึ้นมาเป็นผลงานของรัฐบาลเศรษฐาในวันนี้ ล้วนมีผลงานต่อเนื่องมาจากสมัยรัฐบาลลุงตู่
มาผลิดอกออกผลในยุคนี้
เพราะเกือบทั้งหมด ล้วนแต่มีการเจรจา พูดคุย และบางเรื่อง ได้ตัดสินใจมาตั้งแต่ก่อนรัฐบาลปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้น อุตสาหกรรมสำคัญ ไม่ว่ายานยนต์ไฟฟ้า หรือเซมิคอนดักเตอร์ ก็มีการวางรากฐานไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่
ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองค้นข่าวเก่าผ่านกูเกิ้ลดูก็จะทราบแล้ว
ถ้ายุครัฐบาลลุงตู่ อยู่ในหลุมดำการพัฒนาจริง ไม่มีการวางโครงสร้างพื้นฐานรองรับการลงทุนใหม่จริง นักลงทุนที่ไหนมันจะสนใจมาลงทุน เพราะช่วงรัฐบาลเศรษฐาเข้ามา ยังไม่ได้ริเริ่มทำโครงสร้างพื้นฐานอะไรสำเร็จเลย ทั้งหมด ก็ล้วนเป็นโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่ทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่
แม้แต่นายกฯ เศรษฐาก็เริ่มยอมรับว่า หลายเรื่องก็เป็นผลดีมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว รัฐบาลชุดนี้เข้ามาสานต่อ
เพราะฉะนั้น วาทกรรมโป้ปดมดเท็จประเภทว่า “หลุมดำการพัฒนา” ควรจะเลิกซะที
มันเป็นการตีกินแบบหน้าไม่อาย
การแถลงเกี่ยวกับการลงทุนของเอกชนต่างชาติล่าสุดนั้น มีหลายเรื่องที่น่าสนใจ และควรได้รับการสนับสนุนต่อไป อาทิ
1. หม่อมหลวง ชโยทิต กฤดากร (รทสช.) ระบุว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา บีโอไอได้รับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวม 8.5 แสนล้านบาท
เป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี เมื่อพิจารณาเฉพาะมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
มีการเติบโตสูงถึง 72% จากปีก่อน
และในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 มูลค่า FDI ขยายตัวกว่า 145% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในช่วงปีที่ผ่านมา
โดยรัฐบาลและบีโอไอได้กำหนดยุทธศาสตร์เน้นหนักในการดึงดูดการลงทุนโดยเฉพาะใน 4 อุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ Data Center และ Cloud Service รวมถึงกิจการสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมหลักของประเทศ
2. บีโอไอประเมินเม็ดเงินลงทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากกิจกรรม Roadshow และมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล จาก 4 อุตสาหกรรมหลักข้างต้น รวมแล้วประมาณ 558,000 ล้านบาท
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะรักษาตำแหน่งความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในภูมิภาค ในช่วงที่ผ่านมาจึงมีการออกมาตรการและการทำงานต่างๆ อย่างต่อเนื่องและเข้มข้น
ดึงผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่ๆ ให้เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย และการสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV ได้อย่างราบรื่น
ผลจากการดำเนินงาน ทำให้บริษัทผู้ผลิตจากจีนหลายรายในระดับท็อป 10 ของโลก เช่น BYD, Aion, Changan, GWM, MG เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก
จากการเจรจาครั้งสำคัญเมื่อปีที่แล้วที่กรุงโตเกียว ทำให้ 4 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นชั้นนำ มีแผนการขยายการลงทุนรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี
สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานในการปรับตัวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต และการรักษาธุรกิจ ICE ในปัจจุบัน
ในขณะที่รัฐบาลยังคงเดินหน้าเจรจากับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากยุโรปและอเมริกาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีมาตรการสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ชั้นนำของโลก คาดว่าภายในปีนี้จะมีผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่อย่างน้อย 2 รายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
3. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และดิจิทัล
เรื่องนี้ เราจะเห็นข่าวการผลักดันเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่
ปรากฏว่า ในการแถลงล่าสุด เลขาฯบีโอไอ เปิดเผยว่าที่ผ่านมา ไทยประสบความสำเร็จในการดึงการลงทุนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กลางน้ำไปจนถึงปลายน้ำมาลงทุนในประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลจึงตั้งเป้าพัฒนาให้เกิดระบบนิเวศ ด้วยการดึงดูดกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เช่น การผลิตชิปต้นน้ำ การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ การรับจ้างผลิตและทดสอบชิพขั้นสูง เข้ามายังประเทศไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมให้มีมูลค่าสูง สร้างงานทักษะสูงในประเทศ
โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างเจรจากับบริษัทระดับโลกหลายราย พร้อมพัฒนาบุคลากรไทยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเหล่านี้
ในด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะด้าน Data Center และ Cloud Services ซึ่งเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรม AI
คาดว่า ภายในปีนี้จะมีผู้ให้บริการระดับ Hyperscale เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 ราย ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องหลายแสนล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้าซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคได้
4. การดึงดูดบริษัทชั้นนำให้ตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย
มีการเปิดเผยในการแถลงล่าสุดว่า ในปีที่ผ่านมา มีบริษัทต่างชาติรายใหญ่หลายรายเลือกไทยในการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค ส่งผลให้มีแรงงานทักษะสูงระดับผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญเข้ามาอยู่ในประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย
รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการจูงใจให้ภาคเอกชนจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทผู้มีฐานการผลิตในไทยและอาเซียน รวมทั้งกลุ่มธุรกิจบริการต่างๆ เช่น ดิจิทัล การเงิน โลจิสติกส์ ไปจนถึงธุรกิจแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ซึ่งใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของไทยในหลายๆ ด้าน โดยนอกเหนือจากปัจจัยด้านธุรกิจ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรที่มีคุณภาพ ต้นทุนทางธุรกิจที่เหมาะสมแล้ว ยังมีปัจจัยที่สนับสนุนการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตสำหรับกลุ่มคนทำงานด้วย เช่น สิ่งอำนวยความสะดวก ระบบรักษาพยาบาล โรงเรียน แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เป็นต้น
โดยในปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทใหญ่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทยเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 5 ราย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี