กฎหมายปฏิรูปที่ดินของประเทศไทยตราขึ้นในปี พ.ศ. 2518 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำที่ดินที่เสื่อมโทรมทั้งหลายมาจัดให้เกษตรกรครอบครองใช้ประโยชน์ และมีหมวดบังคับว่าจะต้องใช้ทำกิจการเพื่อเกษตรกรรมเท่านั้น จะทำกิจการอย่างอื่นไม่ได้ และคุณสมบัติผู้ถือครองที่ดิน ส.ป.ก. คือต้องเป็นเกษตรกรที่ยากจน
แต่ก่อนมานั้นที่ดินทั้งปวงเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ทรงอุทิศให้กับพสกนิกรของพระองค์ที่เข้าก่นร้างถางพงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินไปใช้ประโยชน์โดยไม่มีหลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินแต่ประการใด ที่ดินของประเทศไทยจึงไม่มีค่าไม่มีราคา
ประเทศไทยมีที่ดินทั้งหมด 320 ล้านไร่ แต่ก่อนมาจึงไม่มีที่ดินที่มีราคาทั้งสิ้น เพราะไม่มีหลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงทำการปฏิรูปที่ดินหลังจากเสด็จกลับจากยุโรป โดยครั้งนั้นทรงมีพระราชปรารภว่าชาวยุโรปเขามั่งคั่งเพราะมี real estate ซึ่งหมายถึงโฉนดที่ดิน เพราะขณะนั้นยังไม่มีคำภาษาไทยเรียกโฉนดที่ดิน
และทรงพระราชปรารภว่าสัปเยกของสยามยากจนเพราะไม่มี real estate ซึ่งสัปเยกนี้หมายถึงประชาชนหรือราษฎร เพราะขณะนั้นยังไม่มีคำเรียกประชาชนหรือราษฎร จึงทรงใช้คำว่าสัปเยก ซึ่งภาษาในยุคนั้นก็หมายถึงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน และในปัจจุบันนี้สัปเยกนั้นก็หมายถึงราษฎรหรือประชาชน
ดังนั้นเพื่อให้สัปเยกของสยามได้มีฐานะเป็นหลักฐานจึงทรงทำการปฏิรูปที่ดินทั้งสองมิติ คือให้มีการออกโฉนดที่ดินเป็นครั้งแรกที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปฏิรูปการใช้ที่ดินให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ คือใช้เพื่อกิจการเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมบริการ ทำให้สยามเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดในภูมิภาคนี้ เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งที่สุด เงินบาทเป็นเงินสกุลสากล มี 6 ภาษา ใช้ได้ทั่วทั้งภูมิภาค สยามจึงเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ทำให้ที่ดินของประเทศไทยแบ่งออกเป็นสองส่วน คือที่หลวง ซึ่งหมายถึงที่ดินที่ราษฎรไม่ได้ก่นร้างถางพง ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ และไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดิน โดยมีการควบคุมโดยทางทะเบียนที่เรียกว่าหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือ น.ส.ล. มีกำหนดตัวเลขว่าแต่ละแปลงมีเนื้อที่เท่าใด และที่ราษฎร์ คือที่ที่มีเอกสารสิทธิที่ดิน
ต่อมามีกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ก็ให้สิทธิ์ราษฎรในการแจ้งการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเพื่อการออกหลักฐานการครอบครองทำประโยชน์ ซึ่งเป็นทั้งโฉนดที่ดินบ้าง หนังสือรับรองการทำประโยชน์บ้าง แต่เอกสารสิทธิทั้งสองประเภทนี้ใช้เวลาทำนานมาก จึงไม่ทั่วถึงทั้งประเทศ กฎหมายที่ดินก็เปิดโอกาสให้แจ้งการครอบครองทำประโยชน์ โดยออกเอกสารสำคัญเบื้องต้นให้เรียกว่า ส.ค.1 หรือหนังสือแสดงสิทธิการครอบครอง ซึ่งถือเป็นหลักฐานแห่งสิทธิ์ครอบครองอย่างหนึ่งที่กฎหมายรับบังคับให้
ต่อมาส่วนราชการต่างๆ ได้ออกกฎหมายเข้าถือครองที่ดินที่เป็นที่หลวงและครอบคลุมถึงที่นอกที่หลวงด้วย โดยเฉพาะคือการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตป่าไม้ตามกฎหมายป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งตามกฎหมายนั้นจะต้องสำรวจกันพื้นที่ที่ราษฎรครอบครองออกก่อน แล้วจึงประกาศที่ที่ไม่มีการครอบครองให้เป็นเขตป่าไม้ และต่อมาก็ได้เพิ่มประเภทจากป่าไม้เป็นวนอุทยานและอุทยานแห่งชาติ
ซึ่งทำให้คนทั้งหลายที่ได้ยินคำว่าป่าไม้ วนอุทยาน หรืออุทยานแห่งชาติ สำคัญผิดคิดว่าเป็นพื้นที่ป่าไม้สมบูรณ์ แท้จริงเป็นเพียงพื้นที่ที่ถูกประกาศตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น โดยอาจจะทับที่ดินที่มีการครอบครองหรือมีเอกสารสิทธิอื่นก็ได้ จึงเป็นสาเหตุพิพาทระหว่างรัฐกับราษฎรตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้
และทุกกรณีที่มีปัญหาพิพาทเหล่านี้ ผู้ครอบครองทำประโยชน์ก็จะถูกเพ่งเล็งว่าเป็นผู้บุกรุกทรัพย์สมบัติแผ่นดิน หรือถ้าเป็นคนมีฐานะหน่อยก็ยิ่งฉิบหายใหญ่ เพราะจะถูกชี้หน้าว่าเป็นนายทุนปล้นสมบัติแผ่นดิน ทำให้เสียธงธรรมแพ้คดีตั้งแต่ต้น จนเป็นที่เดือดร้อนกันโดยทั่วไป เป็นเหตุให้บางยุคสมัยพระเจ้าแผ่นดินท่านก็ทรงรับสั่งปรารภว่า การพิพาทเหล่านี้เป็นเพราะคนรุกป่าหรือเพราะป่ารุกคนกันแน่ แต่ก็หามีผู้ใดใส่ใจไม่
เพราะเหตุที่ที่ดินซึ่งอยู่ท้ายประกาศพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวนั้นจำนวนมากก็ไม่ได้เป็นป่า บ้างก็เป็นที่เสื่อมโทรมมาก บ้างก็เป็นชุมชนอยู่แล้ว ทำให้ราษฎรที่ครอบครองอยู่ไม่มีเอกสารสิทธิและได้ชื่อว่าไม่มีที่ดินทำกิน จึงเป็นเหตุให้มีการเรียกร้องที่ทำกิน จากนั้นจึงมีการตรากฎหมายปฏิรูปที่ดิน ให้นำที่ดินของรัฐที่เสื่อมโทรมแล้วหรือที่มีราษฎรครอบครองทำประโยชน์เป็นชุมชน ให้สิทธิ์ราษฎรครอบครองทำประโยชน์ได้ และนี่ก็คือต้นเหตุของความยากจนและความฉิบหายของชาติบ้านเมืองมาจนถึงทุกวันนี้
แผ่นดินประเทศไทยที่มีเนื้อที่ 320 ล้านไร่นั้น ปัจจุบันนี้มีที่ดินที่ถูกประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินประมาณ 60 ล้านไร่ ซึ่งต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายปฏิรูปที่ดิน ที่มีบทบังคับสำคัญคือ
ประการแรก ผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ต้องเป็นเกษตรกรเท่านั้น จะประกอบอาชีพอย่างอื่นที่จะทำให้มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยไม่ได้โดยเด็ดขาด นั่นเพราะคงคิดว่าอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพที่ทำให้ชาติมั่นคงร่ำรวยและราษฎรเป็นสุข ซึ่งต้องถือว่าเป็นความคิดที่โง่บัดซบที่สุด เพราะขัดหลักนิติธรรมเนื่องจากเลือกปฏิบัติ
ประการที่สอง เกษตรกรที่ครอบครองใช้ประโยชน์นั้นต้องเป็นคนยากจน จะมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยไม่ได้เพราะจะขาดคุณสมบัติ นับเป็นกฎหมายที่บัดซบที่สุดของโลกที่บังคับให้ประชาชนของรัฐยากจน ทั้ง ๆ ที่นโยบายของทุกรัฐบาล แม้พระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ก็ได้ประกาศชัดเจนว่า เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน และเพื่อสร้างสังคมที่อยู่ดีกินดี มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย
ประการที่สาม เพราะผลจากบทบังคับดังกล่าว จึงทำให้พื้นที่ 60 ล้านไร่ของประเทศเป็นพื้นที่ของคนทำเกษตรกรรมและคนยากจน ซึ่งอาชีพเกษตรกรรมนั้นได้รับการยกเว้นการเสียภาษีอากร เพราะถ้ามีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีอากรก็จะไม่ใช่คนยากจน เนื่องจากเคยมีการส่งเรื่อง
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่ายากจนหมายถึงอะไร และมีการตีความว่ายากจนหมายถึงยากไร้ ไม่มีทรัพย์สินในการประกอบอาชีพนอกจากจอบและเสียม คือต้องยากจนข้นแค้นสิ้นเนื้อประดาตัวขนาดนี้จึงจะมีคุณสมบัติ นี่ก็เป็นความบัดซบระดับโลกอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นกฎหมายฉบับเดียวที่บังคับประชาชนไม่ให้มีฐานะ ไม่ให้มีรายได้ และไม่ต้องเสียภาษี กลายเป็นว่าที่ดิน 60 ล้านไร่ 1 ใน 4 ของประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่ไม่ต้องเสียภาษี และไม่มี GDP เกิดขึ้น
การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเป็นการวิปริตผิดมนุษย์ เพราะในสังคมหนึ่งก็ต้องมีร้านค้า มีตลาด มีธนาคาร มีวัดมีโรงเรียน ซึ่งจะขาดเสียมิได้ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งต้องห้ามในเขตปฏิรูปที่ดินทั้งสิ้น ในขณะที่ความจริงก็คือในทุกเขตปฏิรูปที่ดินมีสถานที่ราชการ มีวัด มีโรงเรียน มีตลาด มีร้านค้า มีปั๊มน้ำมัน และการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าว่าตามกฎหมายล้วนผิดกฎหมายทั้งสิ้น
นี่คือเหตุของความยากจนข้นแค้นของประเทศไทยที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดการเรื่องนี้ เพราะจะปล่อยให้ประเทศไทยมีสภาพต่อไปอย่างนี้คงไม่ได้แล้ว แต่คงหาผู้กล้าได้ยาก เพราะใครทำเรื่องนี้ก็คงถูกตราหน้าว่าทำเพื่อประโยชน์ของนายทุน โดยมองไม่เห็นประชาชนในพื้นที่ 1 ใน 4 ของประเทศไทยที่ยากจนข้นแค้นและเป็นต้นน้ำของความยากจนของประเทศ คนตาบอดจำพวกนี้ควรจะตาบอดจริงๆ บ้านเมืองจึงเจริญได้
ถึงเวลาหรือยังที่ต้องแก้ไขกฎหมาย ส.ป.ก. อย่างน้อยในเรื่องดังต่อไปนี้
ประการแรก พื้นที่ใดแห้งแล้งไม่เหมาะสมในการทำเกษตรกรรม สำนักงานปฏิรูปที่ดินมีอำนาจที่จะอนุญาตให้ทำกิจการอย่างอื่นที่จะสร้างรายได้ให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินได้
ประการที่สอง ผู้ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. สามารถร้องขอทำประโยชน์โดยสอดคล้องกับสภาวการณ์ของชาติบ้านเมืองและความต้องการของท้องถิ่นได้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น
ประการที่สาม ยกเลิกเงื่อนไขว่าผู้ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. ต้องเป็นคนยากจนอย่างเดียว และกำหนดหน้าที่ให้ผู้มีเงินได้ในเขต ส.ป.ก. ทั้งหมดต้องเสียภาษีตามกฎหมาย
ตัวอย่างรูปธรรม เช่น การอนุญาตให้ทำโซลาร์ฟาร์มในพื้นที่ ส.ป.ก. เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ครอบครองที่ดิน และแก้ไขปัญหาขาดแคลนพลังงาน โดยอาจมีเงื่อนไขว่าแผงโซลาร์ฟาร์มต้องอยู่สูงจากพื้นอย่างน้อย 2.5 เมตร เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ด้านล่างทำการเพาะปลูกได้
ประเทศไทยจะพ้นจากความยากจนได้ก็ต้องแก้ไขกฎหมายฉบับนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี