ติดตามการทำงานทางการเมืองของนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานสภาอย่างละสองสมัยมาเกือบห้าสิบปีพบว่านายชวน หลีกภัย ไม่เคยปล่อยให้ความผิดพลาดด้านนโยบายและมาตรการของรัฐบาลผ่านไปโดยไม่ชี้แจงทำความเข้าใจหรืออภิปรายถึงความชั่วร้ายที่ผ่านมาให้ประชาชนได้สำนึก
ดังนั้น เมื่อนายชวนอภิปรายในการซักถามแนะนำรัฐบาลโดยไม่ลงมติตาม มาตรา 152 เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา การอภิปรายของท่านจึงถูกสส.เพื่อไทย ที่ไม่เคยสำนึกในความผิดพลาดของผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ลุกขึ้นประท้วงการอภิปรายกันให้ขรมในสภา เพราะไม่ต้องการให้ความผิดพลาดของนายใหญ่ถูกยกขึ้นมาพูดในสภา ความจริง นักการเมืองเหล่านั้น น่าจะสำเหนียกแต่ต้นว่า ความผิดพลาดอันเลวร้ายของนายใหญ่นั้น ปิดบังไว้ไม่ได้ ดังสุภาษิตไทยที่ว่า “ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด”
และ สส.ที่รุมกันประท้วงนั้น ต้องสำเหนียกว่า เรื่องนโยบายผิดพลาด ซึ่งเป็นต้นเหตุความรุนแรงจังหวัดภาคชายแดนใต้กับนโยบายเลือกปฏิบัติต่อคนใต้นั้น นายใหญ่เองพยายามปิดปากนายชวนด้วยการฟ้องหมิ่นประมาทตั้งแต่ปี 2555 แต่เมื่อฟ้องแล้ว ก็ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปจนเหลืออีกสองวันขาดอายุความ นายชวน เกรงว่ากระบวนการยุติธรรมและอัยการจะเสียหายจึงให้นายราเมศ รัตนะเชวง ทนายความและเลขาฯส่วนตัวไปเร่งรัดให้อัยการนำเรื่องขึ้นฟ้องศาลทันเวลา ศาลดำเนินการพิจารณาคำร้องและฟังคำให้การพยานโจทก์พยานจำเลยเสร็จสิ้นแล้วอ่านคำพิพากษา ตัดสินยกฟ้องจำเลย เมื่อวันที่26 มีนาคม ที่ผ่านมา ในคำพิพากษาตอนหนึ่งบรรยายว่า...
“ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นข้อยุติได้ว่าจากคำร้องและการนำสืบของพยานโจทก์ ไม่สามารถสืบได้สมตามคำฟ้องของโจทก์ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอเพื่อ นำมาประกอบนำมาพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ที่สำคัญโจทก์และโจทก์ร่วมรวมถึงพยานโจทก์ #ร่วมกันยอมรับตรงกันถึงพฤติกรรมของโจทก์ร่วมในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองโดยใช้วิธีการนอกกฎหมาย..ฯลฯ”
ดังนั้นการที่นายชวนอภิปรายว่าตนเคยทักท้วงในการแถลงนโยบายว่า ไม่เคยเขียนนโยบายในเรื่องนี้ไว้เลย ความผิดพลาดจากนโยบายในอดีต ทำให้เรามีตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบตั้งแต่วันที่ 2547 จำนวน 7,520 คน จนถึงวันที่ตนอภิปรายในเดือนสิงหาคม 2566 ขณะที่ตัวเลข ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพิ่มเป็น 7,574 คน เพิ่มขึ้น 57 คน
นายชวน ยังกล่าวด้วยว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากนโยบาย 8 เมษายน 2544 ที่แก้ปัญหาด้วยการจัดการเสียเดือนละ 10 คน 2 เดือน ก็หมดง่ายๆ ด้วยการฆ่าทิ้งวันนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ต้องหยิบนโยบายพร้อมพิจารณาว่า เราจะมีมาตรการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไร...ก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อ 22 มีนาคม โดยระบุว่า รับทราบแต่เหตุการณ์ดีขึ้นพร้อมต่อสายถึง นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตนขอถามว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุในประเทศหรือเหตุระหว่างประเทศและนายอันวาร์ให้ข้อแนะนำอย่างไร..”
ถึงช่วงนี้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมว.คลัง ใช้สิทธิประท้วงในฐานะ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ขอให้นายชวนปฏิบัติตามข้อบังคับข้อที่ 69 ในเรื่องการพูดถึงบุคคลภายนอก ทำให้นายชวน ระบุว่าจะเอ่ยเพียงอดีตนายกฯเท่านั้น นายชวนยังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลประกาศว่าจะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพและโปร่งใส แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ 6 เดือนกว่า จริงอยู่ว่าบางนโยบายต้องใช้เวลา แต่สิ่งที่ทำได้ทันทีคือ การรักษาหลักนิติธรรม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือกรณีนักโทษ... การที่คนป่วย หายป่วยเป็นเรื่องดี เพื่อจะมีชีวิตเป็นขวัญใจให้ลูกหลานและมีชีวิตเพื่อรับกรรมในสิ่งที่ไม่ดีต่อไป..”
นี่คือคำอภิปรายของนักการเมืองผู้ได้รับสมญานามจากสื่อต่างประเทศว่าเป็น Mr. Clean of Thailand ที่ได้อภิปรายให้ประชาชนและคนรุ่นใหม่ ได้สำนึกถึงความผิดพลาดอันเลวร้ายของพรรคการเมืองในอดีตที่มีทายาทอสูรสืบเนื่องการบริหารประเทศมาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ที่ยืดเยื้อมากว่ายี่สิบปี
ผู้เขียนเองสมัยที่ทำข่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์สต่อเนื่องมาถึงสำนักข่าวเอพี ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คนสำคัญในขบวนการผู้ก่อความไม่สงบสองคน คือ คนสนิท ดร.อารงค์ บุเลง กับ นายลุกมานบิน ลิมา รักษาการประธาน องค์การปลดปล่อยสหปัตตานี หรือ พูโล ซึ่งทั้งสองคนพูดตรงกันว่า “หากรัฐบาลไทยในปี 2547 ไม่ใช้พฤติกรรมนอกกฎหมายโหดร้ายทารุณกับคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ ขบวนการแยกดินแดน หรือ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบไม่มีวันได้ฟื้นฟูรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่” พวกเขาอ้างถึงเหตุการณ์ล้อมสังหารหมู่ในมัสยิดกรือเซะเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 ที่มีมุสลิม 34 คนถูกยิงตาย และเหตุการณ์ตากใบ ที่ผู้ประท้วงส่วนใหญ่เป็นมุสลิมอยู่ระหว่างถือศีลอดถูกล้อมจับมัดมือไพล่หลังแล้วโยนขึ้นรถบรรทุกทหารนอนทับซ้อนกันทำให้ขาดอากาศหายใจตาย 78 คน ระหว่างเดินทางจากอำเภอตากใบถึงค่ายทหารในจังหวัดยะลา โดยนายลุกมานพูดกับผู้เขียนในประเทศอินโดนีเซีย ว่า “ขอบคุณนายกรัฐมนตรีไทยที่ทำให้ขบวนการปลดปล่อยปาตานีได้ฟื้นฟูมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันนี้เรามีแนวร่วมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก”
ดังนั้นแทนที่นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยจะขอบคุณนายชวน ที่พูดถึงความผิดพลาดของพรรคเพื่อไทยเมื่อคราวที่ยังใช้ชื่อพรรคไทยรักไทย เพราะมีนักการเมืองมีรัฐมนตรี และผู้ที่มีตำแหน่งสำคัญในสภาร่วมรัฐบาลที่ทำผิดพลาดในยุคนั้นอยู่ร่วมรัฐบาลปัจจุบันด้วย ที่สำคัญนายใหญ่ผู้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติตั้งแต่ทศวรรษ 2544 บัดนี้กลับมามีอำนาจเด็ดขาดในเพื่อไทยถึงแม้ไม่มีกฎหมายรองรับแต่เจ้าของพรรคตัวจริงทำตัวเหนือกฎหมายได้ทุกอย่าง มีสิ่งเดียวทำไม่ได้คือห้ามไม่ให้นายชวนพูด
และ สส.เพื่อไทย ต้องเรียนรู้ว่า นายชวน ไม่เคยยอมให้ความผิดพลาดชั่วร้ายในรัฐบาลผ่านไปตามกระแสนิยมที่สังคมยุคใหม่มีคติว่า “โกงได้หากเอามาแบ่งกันกินกันใช้” และหากละอ่อนการเมืองได้ค้นคว้าศึกษา จะพบว่า สส.ชวน หลีกภัย อภิปรายวิจารณ์การบริหารประเทศไม่มีธรรมาภิบาล การบริหารประเทศนอกกฎหมายตั้งแต่สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกฯ
และหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ใน ม.ธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่ตามมาด้วยการปฏิวัติยึดอำนาจ และ ประกาศกฎอัยการศึก คณะปฏิวัติกับนักการเมืองขวาจัดกล่าวหาว่า นายชวน หลีกภัย นายดำรง ลัทธพิพัฒน์ และนายสุรินทร์ มาศดิตถ์ เป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งสามท่านต้องหนีการตามล่าของเจ้าหน้าที่ และกลุ่มกระทิงแดงไปหลบหนีในที่ปลอดภัยในระหว่างที่หลบภัยรัฐบาลเผด็จการอยู่นั้น นายชวนได้เขียนบันทึกแฉถึงพฤติกรรมชั่วร้ายของเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะตำรวจ ทหาร ที่รังแก เบียดบัง รีดไถข่มขู่ประชาชนในชนบท ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้ประชาชนหนีเข้าป่าไปร่วมรบกับทหารป่าในยุทธการป่าล้อมเมือง และ ต่อมาบันทึกของนายชวนได้รับตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อเรื่อง “เย็นลมป่า” เป็นหนังสือขายดีที่ได้รับการตีพิมพ์ถึงห้าครั้ง เป็นหนังสือมีคุณค่าที่ละอ่อนทางการเมืองควรหามาอ่านจะได้สำเหนียกว่า แม้แต่กฎอัยการศึกก็ปิดปากนายชวนไม่ได้นับประสาอะไรกับการประท้วงไร้สาระในสภา
ส่วนสื่อที่กล่าวหาว่านายชวนเป็นคอมมิวนิสต์ กล่าวหาว่าจังหวัดตรังไม่มีลูกเสือชาวบ้านนั้น นายชวนได้ฟ้องหมิ่นประมาท หนังสือพิมพ์ดาวสยาม ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ขวาจัดที่ทรงอิทธิพลจนนักการเมือง ตำรวจ ทหาร ต้องก้มหัวให้ในยุคนั้น นายชวนสู้คดีกับหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ในศาล สืบพยานกันหมดเปลือกเหมือนการพิจารณาคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร ฟ้องนายชวนหมิ่นประมาท ที่นายชวน วิจารณ์ความผิดพลาดในมาตรการและนโยบายชายแดนใต้ของ นายทักษิณ และสุดท้ายเมื่อความจริงทั้งหมด ได้รับการเปิดเผยออกมา ผู้พิพากษาศาลอาญาก็ตัดสินให้นายชวนชนะคดี
นั่นคือนายชวน หลีกภัย ผู้ไม่เคยปล่อยให้เรื่องเลวร้ายผ่านไปจนกว่าศาลจะตัดสินว่ารัฐบาลทำผิดจริงหรือไม่ และนายชวน ไม่หยุดพูดจนกว่าคนรุ่นใหม่ได้สำเหนียกถึงความชั่วร้ายในอดีตที่มีผลถึงปัจจุบันและมีความสำคัญต่ออนาคต
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี