เรื่องการแก้กฎหมายเพื่อจะป้องกันการรัฐประหารนั้นไม่ต่างจากการเล่นปาหี่หลอกเด็ก จึงทำให้นักการเมืองที่พรรษายังอ่อนออกมาขานรับ “บิ๊กทิน” เจ้าของฉายา“พลิกทินสู่ดาว” กันเป็นทิวแถว
ที่มาของเรื่องอันเป็นสารตั้งต้น ก็คือ นายสุทิน คลังแสง หรือ “บิ๊กทิน” นักการเมืองลูกข้าวเหนียวจากจังหวัดมหาสารคาม ผู้มีนามสกุลอันเป็นมงคลสอดคล้องต้องตรงกับแสนยานุภาพของกองทัพ ที่ทำให้เขากลายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนเดียวที่มาจากพลเรือนเต็มขั้น และในฐานะประธานสภากลาโหมได้แจ้งต่อที่ประชุมสภากลาโหมเมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา ให้รับทราบเกี่ยวกับร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม และร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ที่จะต้องเสนอเข้า ครม.ก่อนส่งให้สภาฯพิจารณาในลำดับต่อไป
แต่ที่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในหมู่นักการเมือง โดยเฉพาะ สส.และรัฐมนตรีประเภท “วัวสันหลังหวะ” ซึ่งเดินกันยั้วเยี้ยอยู่เต็มสภาฯ ก็เนื่องด้วยเนื้อหาของกฎหมายการจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี สามารถมีคำสั่งให้พักราชการได้ทันที เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าข้าราชการทหารผู้ใด คิดก่อการจะใช้กำลังทหารเพื่อยึดหรือควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาล หรือเพื่อก่อการกบฏ
พูดง่ายๆ ก็คือ หากแม่ทัพนายกองคนไหนคิดจะทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล นายกรัฐมนตรีก็มีดาบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือพร้อม “เชือด” ได้ฉับพลันทันใด
ดาบอาญาสิทธิ์ที่ว่านั้น มองผิวเผินดูเหมือนดี แต่ในความเป็นจริงอย่างที่บอกตอนต้น ว่าเป็นการเล่นปาหี่หลอกเด็ก เพราะการทำรัฐประหารนั้น ถ้าแพ้ก็เป็นกบฏ-ติดคุกสถานเดียว คงไม่มีทหารคนไหนถ้าคิดจะทำแล้วประกาศก่อนเป็นการล่วงหน้า แต่สิ่งที่ผู้ถือดาบอาญาสิทธิ์จะทำก็คือไว้จัดการกับแม่ทัพนายกองที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ด้วยการเขี่ยให้พ้นจากตำแหน่งเสียมากกว่า
ดังนั้น ทำการรัฐประหารจึงถือเป็น “ความลับสุดยอด”อันเป็นที่มาของคำว่า “วัน ว เวลา น” ในการปฏิบัติการทางทหาร จะทำวันไหนเวลาใดนั้น ย่อมรู้เฉพาะระดับผู้ก่อการเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เรียกว่ายิ่งรู้น้อยยิ่งเป็นการดี
หาก “วัน ว เวลา น” ที่จะทำการรัฐประหาร ถูกนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐบาลรู้ล่วงหน้า ก็คือ-จบข่าว
การทำรัฐประหารยึดอำนาจของทหารในประเทศนี้จนถูกเรียกว่าเป็น “วงจรอุบาทว์” ตั้งแต่อดีตจนมาถึงครั้งล่าสุดในปี 2557 นั้น สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะรัฐบาล “ทุจริตคอร์รัปชั่น” หลายครั้งจึงเห็นภาพประชาชนถือช่อดอกไม้ไปมอบเป็นขวัญกำลังใจให้แก่กำลังพลทหารที่นำรถถังออกมาปฏิบัติการ พร้อมกับเสียงชื่นชมสดุดี
หากมองย้อนกลับไปนับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ถูกยึดอำนาจโดย รสช.ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2534 ลงมาจนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถูกยึดอำนาจโดย คสช.ในเดือนพฤษภาคม ปี 2557 รวมเวลา 23 ปีผ่านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจหลายสิบคณะ มีนายกรัฐมนตรีมาทั้งหมด 11 คน สาเหตุประการสำคัญก็เพราะการทุจริตประพฤติมิชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล
รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ถูกยึดอำนาจเพราะรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลมีการทุจริตอย่างกว้างขวาง อันเป็นที่มาของคำว่า“บุฟเฟ่ต์ คาร์บิเนต” เพราะบรรดารัฐมนตรีจากพรรคการเมืองต่างๆ ที่เป็นรัฐบาลผสมโกงกินกันเหมือนกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ส่วน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็เรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าวชัดเจนที่สุด ซึ่งนอกจากตนเองจะหลบหนีโทษไปอยู่ในต่างประเทศจนทุกวันนี้ และมีรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลติดคุกแล้ว รัฐยังต้องตามชดใช้หนี้จากการทุจริตโกงกินในคดีนี้ถึง 9.6 แสนล้านบาท จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังชดใช้ไม่หมดสิ้น
“ทักษิณ ชินวัตร” ถูก “คมช.” (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งนำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในเวลานั้น ก็เพราะะรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีทุจริตคอร์รัปชั่น
ข้อหาร้ายแรงที่ คมช.อ้างสาเหตุในการทำรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ประการสำคัญก็เนื่องมาจาก รัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากจะก่อให้เกิดความขัดแย้งแบ่งฝ่ายของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทยแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังเคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบที่เกิดจากผลประโยชน์ทับซ้อน
ชนวนสำคัญก็คือ การขายหุ้นชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้านโดยไม่เสียภาษีให้แก่ “กลุ่มเทมาเส็กโฮลดิ้งส์” ของสิงคโปร์
ทั้งนี้ ภายหลังจากการยึดอำนาจ คมช.และรัฐบาลในชุดต่อมาได้ตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นสอบสวนคดีที่“ทักษิณ ชินวัตร” ถูกกล่าวหาว่าทุจริตประพฤติมิชอบหลายสิบคดี และในจำนวนนั้นมี 4 คดี ที่ถึงที่สุดโดยการพิพากษาตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจนทำให้ทักษิณต้องมีสภาพกลายเป็นนักโทษเด็ดขาดชายและเพิ่งจะได้รับการพักโทษหลังการ “ติดคุกทิพย์”180 วัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง
1.คดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ตัดสินจำคุก 2 ปี (หลบหนีจนคดีจนหมดอายุความ) 2. คดีหวยบนดิน ตัดสินจำคุก 2 ปี (หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมารับโทษปรากฏว่าคดีนี้ถูกยกประโยชน์ให้นักโทษโดยไม่ได้นับโทษรวมกับคดีเอ็กซิมแบงก์) 3.คดีเอ็กซิมแบงก์-ปล่อยเงินกู้สินเชื่อ 4 พันล้านบาท แก่รัฐบาลเมียนมา ตัดสินจำคุก 3 ปี และ 4.คดีให้บุคคลอื่น (นอมินี) ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แทน อันเป็นที่มาของการขายหุ้นชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้าน โดยไม่เสียภาษีให้แก่ “กลุ่มเทมาเส็ก” ตัดสินจำคุก 5 ปี
ทั้ง 4 คดีที่ถึงที่สุดโดยการพิพากษาตัดสินที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมืองดังกล่าว ปรากฏว่าในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ให้สัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ว่า “ถูกยัด” ซึ่งเป็นการย้อนแย้งและถือได้ว่าทักษิณทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยลดโทษด้วยความเท็จ ดังข้อความที่ระบุอยู่ในราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 1 กันยายน 2566 ว่า “ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษาฯ”
อย่างไรก็ดี การแก้ไขกฎหมายเพื่อจุดประสงค์ที่จะป้องกันการทำรัฐประหารยึดอำนาจนั้น ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คงจะต้องบอกว่าเป็นการแก้กฎหมายที่หวังจะเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในกองทัพมากกว่า เพราะว่าทุกวันนี้ฝ่ายการเมืองโดยรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปล้วงลูกในกองทัพเรื่องการโยกย้ายแต่งตั้งแม่ทัพนายกอง เพื่อให้คนของตนนั่งในตำแหน่งที่สำคัญได้ตามอำเภอใจเหมือนหน่วยราชการอื่น
หนทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้ทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจ นั่นก็คือ รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลรวมถึงนายกรัฐมนตรีต้องเปลี่ยนสันดานโกงให้ได้เสียก่อน จึงจะเป็นการตัด “วงจรอุบาทว์” ได้อย่างแท้จริง!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี