วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
อาณาจักรรัตนโกสินทร์ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ซึ่งในระยะต้นนั้น พระองค์ทรงทำศึกสงครามกับอริราชศัตรูได้รับชัยชนะมาโดยตลอด ชาติไทยกลับมามีความเข้มแข็งมั่นคงอีกครั้งหนึ่ง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่อๆ มา ก็ทรงดำเนินนโยบายและบริหารบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขโดยตลอดมา
ในยุคต้นรัตนโกสินทร์นี้ ได้มีบันทึกไว้ว่ามีการตั้งบ่อนการพนันขึ้นในอาณาจักรเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับแผ่นดินซึ่งอยู่ในระยะฟื้นตัวจากการเสียอิสรภาพ ทำให้ต้องใช้เงินจำนวนมาก เพราะการเก็บภาษีจากราษฎรในช่วงดังกล่าวไม่ได้เงินมากเพียงพอที่จะนำมาฟื้นฟูและพัฒนาชาติ การอนุญาตให้เปิดบ่อนมีมาอย่างต่อเนื่องจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ รายได้จากการเก็บอากรบ่อนเบี้ยก็เก็บได้มากกว่าทุกรัชกาลที่ผ่านมา โดยเก็บได้ถึงปีละ ๖ แสนบาทซึ่งในยุคนั้นต้องถือว่าเป็นเงินจำนวนมากทีเดียว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสยุโรปซึ่งพระองค์ก็จะนำสิ่งที่ได้เห็นกลับมาสร้างความเจริญให้กับบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรถไฟ การไปรษณีย์ตลอดจนการสร้างถนนหนทางในรูปแบบใหม่ที่ทันสมัย ทำให้การสื่อสารและการคมนาคมของชาติมีความเจริญก้าวหน้ามาก
พระองค์ได้มีโอกาสเสด็จไปศึกษาบ่อนการพนันใหญ่ของยุโรปที่เมืองมอนติคาโลด้วย และได้มีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมีความตอนหนึ่งว่า
“ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไรๆหมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไหร่ จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเราน่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเป็นคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก...”
และยังทรงพระราชนิพนธ์ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน กำชับให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนไว้ว่า “... การเล่นเบี้ยนั้น เป็นที่ไม่ต้องพระอัธยาศัยมาทุกๆ พระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้นควรที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ผู้ซึ่งมีความนับถือเคารพต่อพระบารมีและพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินสืบกันมา ควรจะคิดตริตรองให้เห็นโทษเห็นคุณตามจริง และงดเว้นการสนุกและการหาประโยชน์ในเรื่องเล่นเบี้ยนี้เสีย จะได้ช่วยกันรับราชการสนองพระเดชพระคุณบำรุงแผ่นดิน เพิกถอนความชั่วในเรื่องเล่นเบี้ย ซึ่งอบรมอยู่ในสันดานชนทั้งปวงอันอยู่ในพระราชอาณาเขต เป็นเหตุเหนี่ยวรั้งความเจริญของบ้านเมืองให้เสื่อมสูญไป...”
พระองค์จึงทรงรับสั่งให้ดำเนินการเลิกบ่อนโดยค่อยๆ กระทำ เพื่อไม่ให้ส่งผล กระทบในวงกว้าง เพราะยังมีผู้ที่มีอาชีพรับจ้างทำงานกับบ่อน ซึ่งในบริเวณที่มีบ่อนนั้นมักจะอยู่ในชุมชน ก็จะมีการเปิดการแสดงลิเกงิ้วและมีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าไปขายเป็นจำนวนมาก การค่อยๆ ทยอยเลิกบ่อนจะได้ไม่กระทบการครองชีพของคนเหล่านั้น จนกว่าจะเลิกได้โดยเด็ดขาด คล้ายกับพิธีการที่พระองค์ทรงใช้ในการเลิกทาส
ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ ได้ประกาศให้เลิกบ่อนตามหัวเมืองและมณฑลต่างๆ ซึ่งมีผลเลวร้ายกว่าในกรุงเทพฯ ก่อน และต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๓๒ จึงเริ่มลดบ่อนเบี้ยในกรุงเทพฯ จนแทบจะไม่เหลืออีก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ก็ทรงยึดแนวทางของรัชกาลที่ ๕ โดยได้มีการออกพระราชบัญญัติในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๖๐ ห้ามมีบ่อนถั่วโปอีกต่อไปทั่วพระราชอาณาจักร และได้มีการปรับปรุงรวบรวมกฎหมายการเล่นการพนันประเภทต่างๆ จนมาเป็นพระราชบัญญัติการพนันในปัจจุบัน
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นเสนาบดี กระทรวงมหาดไทยในช่วงเวลานั้น ได้ติดตามเรื่องการเลิกบ่อนเบี้ย โดยสอบถามไปทางข้าหลวงมณฑลนครศรีธรรมราชว่ามีผลเป็นอย่างไรบ้าง ก็ได้รับทราบกลับมาว่า ตั้งแต่ออกประกาศให้เลิกเล่นการพนันแล้ว การโจรผู้ร้ายในเมืองสงขลาและเมืองนครศรีธรรมราช การลักเล็กลักน้อยก็สงบลงไปอย่างมาก รวมทั้งการลักโคกระบือก็สงบลงไปด้วย การขายตัวเป็นลูกจ้างก็ลดน้อยลง และเรื่องผัวเมียที่เคยทะเลาะวิวาทก็ลดน้อยลงเช่นกัน
ในส่วนของผลกระทบที่เกิดจากการค้าขายนั้น ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกันว่า พ่อค้าตามแขวงตามตำบลที่มารับสินค้าไปนั้นพูดจามั่นคงขึ้น รับสัญญาว่าจะนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนมาส่งเมื่อใดก็นำมาตามกำหนด พ่อค้ากลางเมืองยอมให้รับสินค้าเชื่อไปจำหน่ายได้มากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อกำลังเปิดให้เล่นการพนันอยู่ มักจะพากันเหลวใหลไปเสียหมด จนไม่อยากให้รับเชื่อของไป รวมใจความก็เห็นได้ว่า การค้าขายดีขึ้น
ในส่วนของการรายงานจากที่อื่น เช่น เมืองสุพรรณบุรี นครปฐม ซึ่งเดิมการค้าขายต้องอาศัยโรงบ่อนเป็นเครื่องล่อ โดยพวกที่ไปค้าขายเป็นคนจีนจากที่อื่น พวกนี้ที่ร่ำรวย ส่วนพวกที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในท้องที่ จนไปทั่วหน้าเพราะเล่นเสีย ก่อนที่จะมีบ่อน บ้านเรือนเป็นฝาไม้กระดานมั่นคงเรียบร้อย แต่พอมีบ่อนเกิดขึ้น แม้แต่ฝาไม้กระดานก็หายไป กลายเป็นเรือนเล็กเรือนน้อย ทั้งหญิงและชายต่างก็เข้าบ่อน ทำนาได้ข้าวเอาข้าวมาขายได้เงินเท่าไรก็มักพกไปไม่ถึงบ้าน หมดไปในบ่อนนั่นเอง มีแต่ผลเสีย การหย่าร้างก็มาก หลังจากยกเลิกบ่อนเรื่องต่างๆ ก็กลับมาเป็นเรื่องดี
จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจ ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันรวมทั้งพรรคการเมืองส่วนใหญ่ได้เห็นชอบที่จะให้มีการเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย โดยเลี่ยงไปใช้คำว่าสถานบันเทิงครบวงจรขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยได้นำเสนอการศึกษาโครงการดังกล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎรและได้รับความเห็นชอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี แล้วรอขั้นตอนดำเนินการต่อไปเพื่อให้ออกเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าคงอีกไม่นานจากนี้ และหลังจากนั้นก็จะมีการสร้างสถานบันเทิงดังกล่าวและเปิดดำเนินการภายในระยะเวลา ๒-๓ ปี โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อเป็นการสร้างรายได้อันจะช่วยส่งเสริมฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น รวมทั้งแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย โดยหวังว่ารายได้จากบ่อนจะมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เบื้องต้นนั้นจะอนุมัติให้สร้างสถานบันเทิงที่ว่า ได้เฉพาะในจังหวัดใหญ่ จังหวัดชายแดนและจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว อาทิ กรุงเทพฯ นครราชสีมา สุรินทร์ อุบลราชธานี เลย อุดรธานี บึงกาฬ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา สระบุรี ระยอง ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต กระบี่ พัทลุง และสงขลา
อดีตที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากการเปิดบ่อนการพนันมาแล้ว เพราะถึงแม้จะสร้างรายได้ให้กับรัฐ แต่ผลกระทบที่เป็นผลเสียก็มีอยากมากมายโดยเฉพาะเรื่องของการทำร้ายและทำลายสังคม
มีการกล่าวว่าบ่อนกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจรถือเป็นส่วนเล็กๆ ของสถานบันเทิงเท่านั้น แต่โดยแท้จริงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป้าหมายหลักคือการสร้างรายได้จากบ่อน คนที่รวยก็คือนักลงทุนหรือเจ้าของบ่อนนั่นเอง ซึ่งอาจจะหมายถึงรัฐบาลด้วยเพราะเป็นผู้สนับสนุน โดยมีผู้เล่นการพนันเป็นเหยื่อที่จะเสียเงินเสียทอง ซึ่งอาจจะเป็นจำนวนมหาศาล
สิ่งที่จะตามมาหลังการเปิดบ่อน จะพบอัตราการฆ่าตัวตายมากขึ้น คดีฉกชิงวิ่งราวปล้นทรัพย์มากขึ้น ครอบครัวแตกแยกมีมากขึ้นผู้ติดยาเสพติดมีมากขึ้น รวมทั้งการระบาดของยาเสพติดที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เป็นการล่มสลายทางสังคม ซึ่งจะเป็นลักษณะของโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ถึงแม้จะมีมาตรการในการคัดกรองผู้เล่น ด้วยการกำหนดคุณสมบัติและมีบทลงโทษก็ตาม ตราบใดที่เมืองไทยยังสามารถใช้เงินในการซื้ออะไรก็ได้ รวมทั้งการใช้เงินเพื่อทำลายระบบยุติธรรม
ยังไม่สายเกินไปที่รัฐบาลจะทบทวนเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกับเรื่องการขายข้าวเน่าอายุ ๑๐ ปี ซึ่งนักวิชาการเฉพาะทางก็ยืนยันแล้วว่า ไม่มีคุณสมบัติในการที่จะเป็นอาหาร และอาจจะก่อให้เกิดโทษกับผู้บริโภคอย่างมหันต์ด้วย แต่ที่สำคัญยิ่งหากรัฐขายข้าวนี้ออกไปในต่างประเทศ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ แบรนด์ข้าวไทย อันมีชื่อเสียงมายาวนานจะถูกทำลายอย่างย่อยยับ
รายได้จากการขายข้าวเก่าเก็บ ๑๕,๐๐๐ ตันซึ่งรัฐมนตรีพูดว่าจะสร้างรายได้ ได้มากกว่า ๒๐๐ ล้านบาทนั้น ขอฝากให้รัฐบาลได้คิดว่า มูลค่าของแบรนด์ข้าวไทย มีค่ามากกว่าเงินก้อนนั้นอย่างมหาศาล จึงอย่าได้คิดทำลายเป็นอันขาด เพราะจะกระทบกับมูลค่าของชาติไทยเราด้วย
ปิยะ เนตรวิเชียร

‘ผบช.ภ.1’แต่งตั้งคณะโฆษกตำรวจภูธรภาค 1 มุ่งประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจ ถูกต้อง รวดเร็ว
‘ราเมศ’ซัดแรง‘กาฝากประชาธิปไตย’ สวน‘ก่อแก้ว’บิดเบือนให้‘ปชป.-อภิสิทธิ์’เสียหาย
'ณวัฒน์' เดือด!พาตำรวจลงตรวจสอบกอง MU หลังนำป้ายโปรโมทเว็บพนันวางในโรงแรมเก็บตัวนางงาม
‘นายกฯ’ต้อนรับ‘ลี เซียนลุง’อดีตนายกฯ สิงคโปร์ หลังเข้าถวายสักการะพระบรมศพ'พระพันปีหลวง'
ผัวเมาโหด! ‘คว้าเก้าอี้ฟาดเมีย’ โดนมีดแทงสวนดับ-หลังถูกทำร้ายซ้ำซาก

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี