การที่รัฐบาลจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดตามเดิมนั้น ไม่รู้ว่าใช้อะไรคิดกัน อุตส่าห์สู้และผลักดันกันมาจนกระทั่ง“ปลดล็อค”กันมาได้แล้ว
กัญชาเป็นพืชสมุนไพรคู่บ้านคู่ครัวไทยมาแต่โบร่ำโบราณ ก็ปลูกกันเหมือนข่าตะไคร้ใบมะกรูด เห็นมาตั้งแต่เกิดตั้งแต่ครั้งรุ่นปู่รุ่นพ่อ อีกทั้งไปค้นราชกิจจานุเบกษาสมัยรัชกาลที่ 6 ก็พบว่า กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีรายได้จากการเก็บภาษีเข้ารัฐเป็นอันดับสองรองจากอ้อยและน้ำตาลของจังหวัดเพชรบุรี
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็ถูกฝรั่งมังค่าจากซีกตะวันตก สั่งให้เป็นของต้องห้ามผิดกฎหมาย เหตุผลก็เพราะฝรั่งต้องการจะผูกขาดค้ายาและบุหรี่ในตลาดโลก ประเทศไทยก็ยอมเดินตามก้นเขา กัญชาไทยจึงถูกจับไปจองจำไว้ในกฎหมายยาเสพติดประเภท 5
อันที่จริงแล้ว ประเทศไทยเรานั้นมีเงื่อนไขดีกว่าประเทศไหนในโลกในเรื่องดินฟ้าอากาศ ซึ่งเหมาะสมแก่การปลูกกัญชา ดีกว่าทุกประเทศที่ผลิตและส่งออกกัญชาเพื่อการแพทย์ในปัจจุบันนี้
ที่หวาดกลัวกันเรื่องกัญชาเป็นยาเสพติดจะนำไปสูบเพื่อสันทนาการกันนั้น การแก้ปัญหาง่ายมาก ก็ออกกฎหมายควบคุม ไม่ใช่นำกลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5 ตามเดิม เหมือนทำอะไรแบบ“ชักเข้าชักออก”วนไปวนมา ไม่ทำให้สะเด็ดน้ำ
เรื่องการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการนั้น ทำไมในหลายๆ รัฐของประเทศสหรัฐอเมิกาเขาถึงทำกันได้ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร เช่นเดียวกับที่ประเทศแคนาดา นายกรัฐมนตรีหนุ่มที่ชื่อ“จัสติน ทรูโด”ก็เป็นผู้หนึ่งที่ออกแรงช่วยผลักดันจนกระทั่งทำให้ประเทศแคนาดาสามารถใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้ในปี 2561
โดยที่ประชาชนชาวแคนาดาที่บรรลุนิติภาวะอายุระหว่าง 18-19 ปีขึ้นไปสามารถเสพหรือสูบเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกกฎหมาย ไม่ต้องหลบซ่อนหรือแอบตำรวจสูบแบบลับล่อๆ
การที่ประเทศแคนาดายอมให้ประชาชนของเขาใช้กัญชาในทางสันทนาการได้ ก็เพราะเขาไม่ปฏิเสธความจริง เนื่องจากคนหนุ่มสาวชาวแคนนาดาถือว่า เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ใช้กัญชามากที่สุดในโลก รัฐบาลแคนาดาเห็นว่าเมื่อถูกกฎหมาย ก็สามารถช่วยให้การควบคุมการใช้กัญชาในหมู่เยาวชนทำได้ง่ายขึ้น รวมทั้งแก้ปัญหาการค้ายาเสพติดของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ ตลอดจนจะช่วยลดภาระของตำรวจและระบบยุติธรรม
ที่ลดภาระของตำรวจและระบบยุติธรรม ก็คือการลดทอนความเป็นอาชญากรรมในผู้เสพยาเสพติด ไม่ใช่เอะอะไรก็จะจับกันท่าเดียวให้คดีรกโรงรกศาล
อย่างบ้านเรานั้น ถ้านำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5 ตามเดิม ตำรวจยิ้มเลย เพราะทุกวันนี้ตำรวจไม่สามารถจะรีดไถได้ เนื่องจากกัญชาถูกปลดล็อคออกจากยาเสพติด จึงทำให้คนไทย“สายเขียว”ที่นิยมชมชอบสูบกัญชาเพื่อสันทนาการ ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนตำรวจ สามารถสูบในบ้านที่ไม่ใช่ในที่สาธาณะได้อย่างสบายใจ
ถ้าถึงที่สุดแล้ว หากนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5 เหมือนแต่ก่อน ปัญหาก็จะวนกลับไปที่เดิมอีก ก็กลับไปซื้อใต้ดินกันใหม่ เท่ากับเป็นการสนับสนุนให้“ธุรกิจสีเทา”เกี่ยวกับการค้ากัญชาฟื้นชีพขึ้นมาอีกด้วยเช่นกัน
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ครั้งที่ 32-8/2567 โดยมี นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธานการประชุมแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งที่ประชุมมีการพิจารณาวาระสำคัญ คือ การพิจารณา (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่กำหนดให้กัญชา-กัญชงเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ แถลงถึงผลการประชุมดังกล่าวว่า ขั้นตอนต่อจากนี้ก็จะนำเรื่องเสนอต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้นายสมศักดิ์พิจารณาเสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ และคาดว่าจะประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนมกราคม 2568
“ร่างดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มกัญชาในส่วนช่อดอก สารสกัดเกิน 0.2 เปอร์เซ็นตเป็นยาเสพติด ยกเว้นกิ่ง, ก้าน, ราก, ใบ และเมล็ด ซึ่งเป็นไปตามที่รับฟังความคิดเห็น 80 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยกับร่างประกาศดังกล่าว แต่ก็มีข้อสังเกตที่เสนอว่า กิ่ง, ก้าน, ราก, ใบ และเมล็ด ที่ยกเว้นไม่ใช่ยาเสพติด มีการถกกันว่าควรเป็นเฉพาะในประเทศหรือไม่ โดยข้อคิดเห็นนี้จะแนบไปกับความคิดเห็นที่รับฟังให้ทางคณะกรรมการ ป.ป.ส.” นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ แถลงว่าอย่างนั้น
ส่วนกฎเกณฑ์“การใช้-การปลูก”กัญชาที่เน้นทางการแพทย์และสุขภาพนั้น นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ ชี้แจงว่า “จะมีการจัดทำร่างประกาศ กฎกระทรวงต่างๆ ออกมากำหนดว่า ใครใช้ได้ แพทย์แผนไทยแบบไหนใช้ได้บ้าง แบบไหนต้องขออนุญาต แบบไหนไม่ต้อง ส่วนคนทั่วไปจะใช้อย่างไรต้องรอขั้นตอนดำเนินการ ซึ่ง อย.จะดำเนินการคู่ขนานต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอคณะกรรมการ ป.ป.ส. พิจารณา”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่รัฐบาลและองค์กรของรัฐในรูปคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินไป ทางฟากฝั่งประชาชนคนไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลจะนำกัญชากลับไป“ตีตรวน”เป็นยาเสพติดตามเดิม ก็มีการเคลื่อนไหวคัดค้านเช่นกัน ทั้งผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ทำฟาร์มกัญชา และ“กัญชาชน”ทั่วไป
การลุกขึ้นมาคัดค้านของประชาชนที่มีการชุมนุมหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถึงสำนักงานสหประชาชาติ (UN) และทำเนียบรัฐบาลในเวลานี้ ซึ่งนำโดย“เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย” มีนายประสิทธิ์ชัย หนูนวล, หม่อมหลวงรุ่งคุณ กิตติยากร และนายอัครเดช ฉากจินดา นั้น จะบานปลายกลายเป็นปัญหา“น้ำผึ้งหยดเดียว”หรือไม่ ต้องจับตาดูกันต่อไป เพราะประชาชนคนไทย“สายเขียว”ในประเทศนี้มีหลายสิบล้านคน รัฐบาลจะประเมินต่ำๆ ไม่ได้เป็นอันขาด
ทั้งนี้ นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล ได้กล่าวต่อเรื่องนี้ว่า “เราไม่มีทางอื่นที่จะนำกัญชากลับสู่มือประชาชน นอกจากทำให้ฝ่ายนโยบายเปลี่ยนนโยบาย เพราะการนำกัญชากลับไปสู่ยาเสพติดมันไม่ได้มีผลมาจากกฎหมายฉบับใด มันเป็นเรื่องของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว ที่ได้สั่งการให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีฯสาธารณสุข ทำทุกอย่างให้กัญชากลับสู่ยาเสพติด เพื่อผลประโยชน์ต่อนายทุนพวกพ้องของตัวเอง ไม่ใช่ห่วงใยประชาชนอย่างแท้จริงตามที่เขากล่าวอ้าง”
เรื่องนี้ยาว ดีไม่ดี“เศรษฐา ทวีสิน”อาจจะตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้ง“ทนายถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน”เป็นรัฐมนตรี ก่อนที่กระบวนการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดจะสำเร็จเสร็จสิ้นก็เป็นได้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี