วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยไทยในยุคหลังๆ โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นับได้ว่าค่อนข้างเลวร้ายและไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ และความศรัทธามากนักในสายตาและการรับรู้ของผู้คนในสังคมไทย สาเหตุเพราะผู้บริหาร รวมถึงครูอาจารย์จำนวนหนึ่งในมหาวิทยาลัยไม่ได้ทำตัวให้สังคมยอมรับนับถือ ในขณะเดียวกันก็ยังพบว่า คนที่เข้าไปเป็นนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยบางแห่งก็ทำตัวให้สังคมตั้งคำถาม และไม่ให้ความเชื่อถืออีกด้วย โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่วตั้งแต่ปี 2547 แล้วทำให้ลูกสาวคนหนึ่งของนายกรัฐมนตรีไทยรายหนึ่งได้เข้าไปเรียนต่อในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ซึ่งอันที่จริงก่อนจะเกิดเรื่องข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่วก็มีข่าวฉาวมาก่อนแล้วว่าลูกสาวของนายกรัฐมนตรีตกเป็นข่าวฉาวเน่าเฟะเรื่องการเข้าเรียนในภาค Internationalของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่ขาดคุณสมบัติด้านวิชาการ จนมีผู้ร้องเรียน แล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยการไม่เข้าเรียนต่อในคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ แต่เร่ไปเข้าเรียนภาควิชาสังคมวิทยา ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้อย่างสุดพิสดาร
เรื่องได้เรียนที่จุฬาฯ เพราะว่าพ่อเป็นนายกฯ ยังเป็นประเด็นใหญ่ที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทราบเรื่องราวเน่าเฟะนั้นยังคงตั้งคำถามมาจวบจนปัจจุบัน และจะตั้งคำถามต่อไปเรื่อยๆ ตราบจนกว่าเรื่องนี้จะหายเงียบไปจากสังคมไทย
มาล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้มีข่าวขายปริญญาบัตร (อีกแล้ว) ในสังคมไทย เรื่องการขายปริญญาบัตรในประเทศไทย นับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ เรื่องเกิดขึ้นแล้วก็เงียบหายไป แล้วก็วนกลับมาเป็นเรื่องเป็นราวอีก โดยที่ไม่ค่อยจะพบเห็นการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเป็นรูปธรรม
อันที่จริง ต้องยอบรับว่าหลังจากที่มีข้อกำหนดสุดพิสดารให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ต้องมีปริญญาบัตรขั้นต่ำคือปริญญาตรี (ยกเว้นเฉพาะผู้ที่เคยเป็น สว. และ สส. มาก่อน) การกำหนดเรื่องพิสดารเช่นนั้นก่อให้เกิดการซื้อขายปริญญาตรีในสังคมไทยอย่างเอิกเกริกตามมา แล้วก็พบว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่ง รวมถึงสถาบันราชภัฏจำนวนไม่น้อยได้ตกเป็นข่าวว่าเป็นแหล่งซื้อขายปริญญาบัตรกันอย่างโจ๋งครึ่ม แล้วนอกจากนั้นก็ยังพบอีกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนจำนวนไม่น้อยได้กลายเป็นแหล่งซื้อขายปริญญาบัตร จนหลายคนถึงกับบอกว่า การได้ปริญญาบัตรในสังคมไทยมันแสนง่ายดาย แค่มีเงินจ่ายก็ได้ปริญญาบัตร ส่วนเรื่องสติปัญญา ไม่จำเป็นต้องถามถึง เพราะการมีปริญญาบัตรของคนบางจำพวกในสังคมไทย ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับสติปัญญาของผู้ถือปริญญาบัตร
เมื่อกล่าวถึงเรื่องการซื้อขายปริญญาบัตรในสังคมไทยแล้ว ก็ต้องกล่าวถึงเรื่องความน่าเชื่อถือของวิทยานิพนธ์ (ทั้งนี้หมายรวมถึงปริญญานิพนธ์ด้วย) เพราะว่าสังคมไทยมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือของวิทยานิพนธ์มิใช่น้อย เนื่องจากมีการวิพากษ์เป็นประจำว่าวิทยานิพนธ์ของไทยจำนวนไม่น้อยลอกกันมาแบบชนิดที่ว่าลอกมาเป็นหน้าๆ ลอกมาทั้งบท หรือบางทีก็ใช้การลอกโดยแปลจากภาษาต่างประเทศ ทั้งๆ ที่ผู้ทำวิทยานิพนธ์ไม่มีความสามารถในการอ่านและไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศที่อ้างอิงในวิทยานิพนธ์แม้แต่น้อย แต่ก็พบว่าวิทยานิพนธ์เกือบทุกเล่มของไทยนั้นอ้างอิงงานวิจัยหรืองานวิชาการจากแหล่งอ้างอิงที่เป็นภาษาต่างประเทศ แล้วที่น่าสมเพชยิ่งกว่าคือ วิทยานิพนธ์เหล่านั้นอุตส่าห์ผ่านการอนุมัติจากมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ทำให้เกิดคำถามว่า มหาวิทยาลัยที่อนุมัติวิทยานิพนธ์ไร้คุณภาพ จะมีคุณภาพทางวิชาการจริงหรือ
เมื่อพูดถึงเรื่องวิทยานิพนธ์ไร้คุณภาพแล้ว ก็ต้องถามถึงประเด็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยประเด็นที่สังคมตั้งคำถามกันมากก็คือวิทยานิพนธ์ที่ถูกผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการระบุว่ามีข้อความอันเป็นเท็จระบุไว้ในเล่ม แล้วเหตุใดผู้ทำวิทยานิพนธ์เล่มนั้นไม่ถูกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเรียกคืนปริญญาดุษฎีบัณฑิตขอย้ำว่าปมปัญหาอันเกิดจากวิทยานิพนธ์ที่มีข้อความเท็จปรากฏนั้น ยังมีเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ในชั้นศาล โดยบางคดีก็ยกฟ้อง บางคดีก็จบไปแล้ว บางคดีก็ยังคั่งค้างบนศาล แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าคือไม่เห็นว่าผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะแสดงความรับผิดชอบในกรณีวิทยานิพนธ์อันมีข้อความเท็จปรากฏอยู่ ทั้งๆ ที่ได้ตั้งคณะกรรมการทำงานเพื่อสอบสวนหาความจริงในเรื่องนี้ แล้วคณะกรรมการฯ ก็ได้ลงความเห็นไปเรียบร้อยแล้ว โดยระบุว่าวิทยานิพนธ์เล่มดังกล่าวมีข้อความอันเป็นเท็จ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะเปิดเผยผลการสอบสวน แต่ที่สำคัญคือไม่พบความรับผิดชอบใดๆจากผู้บริหารจุฬาฯ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารยุคปัจจุบัน หรือผู้บริหารที่เพิ่งหมดวาระไปหมาดๆ
กรณีการขายปริญญาบัตรและการปล่อยให้มีความเท็จปรากฏในวิทยานิพนธ์ กรณีใดจะถือว่าเลวร้ายและสามานย์มากกว่ากัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า ความน่าเชื่อถือ และความศรัทธาของสังคมต่อคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยไทยในยุคนี้ได้หมดสิ้นและสูญสลายไปหมดแล้ว

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี