เมื่อวันแม่ที่ผ่านมาหลายๆ ท่านคงพาคุณแม่ไปทานข้าว หรืออาจกลับบ้านไปทานข้าวกับคุณแม่และครอบครัว เพราะสำหรับคนไทยแล้ว “อาหารเป็นเรื่องสำคัญ” ดังนั้นในวันสำคัญการนัดรวมตัวกันกินข้าวจึงเป็นเรื่องจำเป็น และหากจะให้พูดให้ชัดว่าอาหารเป็นเรื่องสำคัญของคนไทยก็คงจะต้องขอยกตัวอย่างกรณีที่มีการจัดอันดับอาหารยอดแย่ซึ่งพบว่าประเทศไทยมีเมนูยอดแย่อันดับหนึ่ง !? ได้แก่ “แกงไตปลา” ที่ทำให้คนไทยทั้งแผ่นดินได้รวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของอาหารไทย ! ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งระหว่างอาหารและวิถีชีวิตของคนไทย
ใครหลายๆ คนมักกล่าวว่าประเทศไทย “เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ” หรือ “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” ไปจนถึง “สถานะของความเป็นครัวโลก”แต่รู้หรือไม่ว่ามีคนไทยอีกมากที่ไม่มีสิทธิในการเข้าถึงอาหาร (Right to Food) ทั้งๆ ที่สิทธิในการเข้าถึงอาหารเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้รับการรับรองโดยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพราะจากรายงาน “The State of Food Security and Nutrition in the World 2023” ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO)พบว่าในช่วง ค.ศ. 2020 - 2022 ประมาณร้อยละ 7.6 ของประชากรไทยประสบกับภาวะขาดแคลนอาหารในระดับปานกลางถึงรุนแรง
จากสถิติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเสี่ยงที่จะประสบปัญหาด้าน“ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)” โดยเฉพาะ “เด็ก” ในช่วงอายุที่ต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งจะพบว่า 1 ใน 10 คนกำลังเผชิญภาวะความยากจนทางอาหารขั้นรุนแรง ตามรายงาน Child Food Poverty: Nutrition Deprivationin Early Childhood ที่เผยแพร่ใน ค.ศ. 2024ของกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UnitedNations Children’s Fund: UNICEF) ซึ่งพบว่าเด็กๆ ได้รับประทานอาหารไม่เกิน 2 หมู่ต่อวัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและพัฒนาการโดยรวมในระยะยาว...
นอกจากนี้จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยใน ค.ศ. 2022 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและ UNICEF ยังชี้ถึงความน่ากังวลด้านโภชนาการของเด็กไทยเช่นกัน เพราะมีเด็กในประเทศไทยร้อยละ 13 ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ยังมีภาวะเตี้ยแคระแกร็น และร้อยละ 7 มีภาวะผอมแห้ง เนื่องจากการขาดสารอาหารอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน!โดยทั้งหมดนี้เป็นเหตุมาจาก “วิกฤตความยากจนทางอาหาร (Food Poverty Crisis)” ที่มีปัจจัยหลายประการ เช่น ระบบอาหารที่ล้มเหลวซึ่งทำให้เด็กไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีประโยชน์และปลอดภัยได้ และการที่ครอบครัวไม่มีกำลังซื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงการขาดความรู้และทักษะในการส่งเสริมโภชนาการให้กับเด็กๆ
ทุกพื้นที่มีแต่ “คอร์รัปชัน” เรื่องอาหารก็เช่นกัน...
การเข้าไม่ถึงสิทธิในการเข้าถึงอาหารที่ดีและมีคุณภาพจะนำไปสู่ปัญหาภาวะทุพโภชนาการ (Malnutrition) ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยในรูปแบบของการขาดสารอาหาร โดยปัญหานี้ก็เป็นปัญหาที่ข้องเกี่ยวกับ “การคอร์รัปชัน” อย่างมีนัยสำคัญ ที่มักปรากฏในการทุจริตการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอาหาร เช่น การละเลยมาตรฐานและการบิดเบือนข้อมูลโภชนาการ ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมได้ นอกจากนี้ยังปรากฏในลักษณะของการทุจริตในโครงการอาหารเพื่อโภชนาการ เช่น อาหารกลางวันในโรงเรียนซึ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอส่งผลให้เกิดภาวะทุพโภชนาการในวงกว้าง โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางทางสังคม
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการทุจริตในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทย ซึ่งปัญหาการคอร์รัปชันในภาคอาหารของไทยมีหลายรูปแบบตั้งแต่การทุจริตในระดับนโยบาย การละเว้นการบังคับใช้กฎหมาย ไปจนถึงการทุจริตในระดับปฏิบัติการ อย่างในกรณีของ “การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน”ที่สมาชิกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรประเมินว่า ในแต่ละปีมูลค่าของหมูเถื่อนอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าคำนวณค่าความเสียหายเสียโอกาสของห่วงโซ่การเลี้ยงหมูที่ได้รับผลกระทบจากหมูเถื่อน เช่น การเพาะปลูกพืชเพื่อนำมาเป็นอาหารสัตว์ของเกษตรกรอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ร้านค้าปลีกและค้าส่ง ร้านอาหาร ที่เอาหมูเถื่อนไปทำกำไรขายให้ผู้บริโภคที่คาดการณ์ว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนในวงจรจะไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งหมูเถื่อนนั้นไม่สามารถที่จะตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยได้ ซึ่งทำให้ผู้เขียนหวนนึกถึงกรณี“ปลาหมอคางดำ”
จากหมูเถื่อนสู่ปลาหมอคางดำ... ตอกย้ำปัญหาคอร์รัปชันในอาหารไทย
ปลาหมอคางดำ เป็นปลาในวงศ์เดียวกับปลานิลและปลาหมอเทศ ซึ่งมีด้านคุณค่าทางโภชนาการคล้ายกับปลานิล โดยเนื้อปลามีปริมาณโปรตีนสูงอยู่ในช่วง 18%-20% ไขมันประมาณ 2% ซึ่งเป็นลักษณะของปลาทั่วไปที่มีคุณภาพทางด้านโภชนาการ แต่ในทางกลับกันที่มาของปลาหมอคางดำเรียกได้ว่าเป็นการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ! เพราะปลาหมอคางดำมีการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศที่เป็นแหล่งอาหารของชุมชนจากการกินสัตว์น้ำที่เล็กกว่า นอกจากนี้ปลาหมอคางดำยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการประมงของไทย โดยกรมประมงรายงานว่าปลาชนิดนี้ทำลายแหล่งวางไข่และอนุบาลของปลาพื้นเมือง ส่งผลให้ปริมาณปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้และความมั่นคงทางอาหารของชุมชนประมงพื้นบ้าน ไปจนถึงความหลากหลายและคุณภาพของอาหารของคนไทยทั้งประเทศ...
การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทยไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการทุจริตและการบริหารจัดการที่บกพร่องในห่วงโซ่อุปทานอาหารของประเทศ ซึ่งสื่อมวลชนได้มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงและสืบสวนกรณีดังกล่าวผ่านการทำข่าวเชิงสืบสวน (Investigative Journalism) ที่รายงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำผ่านการลงพื้นที่สำรวจและสัมภาษณ์ชาวบ้านในจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งพบว่าการลักลอบนำเข้าปลาชนิดนี้อย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางการค้าสัตว์น้ำสวยงาม โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐบางรายมีส่วนเกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวกและปกปิดข้อมูล หรือเรียกได้ว่าเป็นเครือข่ายลักลอบนำเข้าและจำหน่ายปลาหมอคางดำที่มีความเชื่อมโยงกับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่รัฐบางราย
หน่วยงานรัฐจึงเร่งหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา จึงมีการเสนอและส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคปลาหมอคางดำเพื่อควบคุมจำนวนประชากร ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดย แนวทางดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืนและอาจส่งผลเสียในระยะยาว เนื่องจากอาจเป็นการสร้างความต้องการในตลาดสำหรับปลาชนิดนี้ที่อาจนำไปสู่การเพาะเลี้ยงและแพร่กระจายมากขึ้น ทั้งนี้การส่งเสริมการบริโภคปลาหมอคางดำอาจเป็นการละเลยปัญหาต้นตอของการทุจริตและการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ แทนที่จะมุ่งเน้นการป้องกันการนำเข้าและแพร่กระจายของสายพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน รวมถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศที่ได้รับผลกระทบ
เพราะอาหารคือเรื่องใหญ่ การแก้ไขปัญหาจึงสำคัญ แต่ต้องแก้ไขอย่างยั่งยืน!
การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ในการพัฒนาระบบการควบคุมและตรวจสอบการนำเข้าสัตว์น้ำที่มีประสิทธิภาพ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบของสายพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน ซึ่งการแก้ไขปัญหานี้ไม่เพียงเป็นการจัดการกับภัยคุกคามต่อระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการปรับปรุงธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยอีกด้วย นอกจากนี้ควรมีการเพิ่มมาตรการในการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพของอาหารในห่วงโซ่อุปทานอย่างเข้มงวด
ที่สำคัญคือการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังในทุกมิติที่ควรร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผล เพื่อให้สามารถปรับปรุงนโยบายและมาตรการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งการแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายที่ 2ว่าด้วยการขจัดความหิวโหยและบรรลุความมั่นคงทางอาหาร เพื่อให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี !
อ้างอิง
Food and Agriculture Organization of the United Nations, (2023) The State of Food Security and Nutrition in the World 2023.
MGR ONLINE, (2023) หมูเถื่อนแสนล้าน “ศุลกากร-ประมง-ปศุสัตว์” 3 ประสาน “บูรณาโกง” ตัวการใหญ่ !?
SDG MOVE, (n.d.) ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ SDGs
tasteatlas, (2024) 100 Worst Rated FOODS in the World
Thai PBS, (2024) “ปลาหมอคางดำ” จับจากน้ำเน่าเสี่ยงสารพิษ-เชื้อโรคในตัวปลา
unicef, (2024) ยูนิเซฟชี้เด็กเล็ก 1 ใน 10 ในประเทศไทยกำลังเผชิญความยากจนทางอาหารเด็กขั้นรุนแรง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี