วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สังคมไทยที่คุ้นเคยกับการเมืองสีเทา ปล่อยให้นักการเมืองทุจริตใช้ช่องว่าง กฎหมายทำลายชาติมานานหลายทศวรรษ เมื่อศาลฯสร้างมาตรฐานใหม่ให้การเมืองสุจริตเท่าที่กฎหมายให้อำนาจทำได้ จึงขัดใจนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์และนักวิชาการร่านวิชาที่หากินกับการเมืองมานาน
หลังศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินยุบพรรคก้าวไกล และตามมาด้วยมีคำวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีนักวิชาการร่านวิชาและคนสอนหนังสือจากหลายสถาบันพากันออกมาโวยวายว่า ศาลฯมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ โดยไม่คำนึงถึงคำที่ว่า ประเทศชาติปกครองโดยกฎหมาย หากปล่อยให้นักการเมืองบิดเบือนกฎหมายใช้เล่ห์กลให้พ้นผิดได้ก็ไม่ต่างอะไรกับการปกครองแบบสัตว์ป่าที่ตัวไหนแข็งแกร่งกว่าผู้นั้นเป็นจ่าโขลง
ส่วนหนึ่งในคำปรารภรัฐธรรมนูญปี 2560 เขียนไว้ว่า ที่ต้องแก้ไขและปรับปรุงรัฐธรรมนูญหลายครั้งตั้งแต่ปี 2475 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ มีผู้ไม่นำพาต่อกฎหมาย ไม่ยำเกรงกฎหมายทำผิดทุจริตคอร์รัปชั่นฯลฯและสังคมการเมืองไทยก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่เลวร้ายที่สุด คือนักวิชาการร่านวิชา และนักกฎหมายเจ้าประจำหลายรายตีความกฎหมายให้คนชั่วพ้นผิด กรณียุบพรรคก้าวไกล และศาลฯวินิจฉัยให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ความผิด ในข้อหาที่ว่า...“ไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง..” ที่การเมืองสุจริต และมาตรฐานจริยธรรม ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญปี’60 หลายมาตราหลายวงเล็บ แต่นักการเมืองไปเลือกใช้เฉพาะในวงเล็บที่ทำให้ตนพ้นผิดและนักกฎหมายหลายคนก็นำเอาส่วนนั้นมาวิพากษ์ตามมาตรฐานจริยธรรมของตัวเอง
ในกรณียุบพรรคก้าวไกลก็เช่นกันเป็นที่ ประจักษ์ต่อสาธารณะ ตั้งแต่นักการเมืองออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงต่อต้านสถาบันและตั้ง “วารสารฟ้าเดียวกัน” ขึ้นมาเผยแพร่บทความแซะสถาบัน สมคบกับคนสอนกฎหมายในมหาวิทยาลัย ผู้หมกมุ่นปฏิวัติฝรั่งเศสนำทฤษฎีปฏิวัติฝรั่งเศส มาผสมปนเปกับแผนการปล้นพระราชอำนาจพระราชทรัพย์ปี 2475 และนำการปฏิวัติที่ล้าหลังหมดยุคพ้นสมัยมาประยุกต์ใช้ปลุกปั่นล้างสมอง นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ให้เป็นปฏิปักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์
เป็นธรรมชาติของคนหนุ่มสาวในประเทศไทยที่อยากลองของใหม่และเห็นประเด็นอะไรที่ต่างจากคนทั่วไปก็อยากลองทำเพื่อความเท่ เพราะทำแล้วได้สมดังใจ สื่อในสังกัดเอาไปประโคมข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่ชำนาญ Information Technology (IT) ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ใช้หุ่นยนต์เป็นตัวปั่นกระแสความนิยมในคนรุ่นใหม่ ที่กล้าออกมาท้าทายสังคมไทยในการทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบัน
และเมื่อพบว่าความนิยมคนรุ่นใหม่ในสังกัดมีมากพอ คนสอนหนังสือมหาวิทยาลัย ก็รวมหัวกับทุนสามานย์ และอดีตนักศึกษาร่านทฤษฎี ก็สมคบกันจัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่ได้แรงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ ในรูปขบวนการสามนิ้ว พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบในปี 2563 แก๊ง Of Four แห่งอนาคตใหม่ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปีแต่มีนักการเมืองหญิงหนึ่งคน เหมือนถูกประหารชีวิตการเมืองถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต หากนักกฎหมายและนักวิชาการร่านวิชาใช้สมองอย่าใช้อวัยวะส่วนอื่นคิดก็พบว่าอนาคตใหม่ ก้าวไกลและนายเศรษฐาทำผิดกฎหมายโดยไม่นำพากฎกติกาบ้านเมืองที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ปกครองแบบสัตว์เดียรัจฉานที่ตัวไหนชนะก็เป็น จ่าโขลง
ในกรณีพรรคก้าวไกลที่แปลงร่างมาเป็นพรรคประชาชน เหมือนลางร้าย หรือเรียกว่าอาถรรพณ์ก็ได้ เพราะผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนและเลขาฯพรรคคนแรก ถูกศาลตัดสินจำคุก 4 ปี ในความผิดละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อปี 2531 แต่โชคดีที่สมัยนั้นยังเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบผู้ต้องหาอยู่ในคุกเดือนกว่าก่อนรับพระราชทานอภัยโทษ แต่สำหรับ พรรคประชาชนยุคใหม่ ที่แปลงร่างมาจาก พรรคก้าวไกล ท้าทายกฎหมายและสังคมไทย โดยความอหังการ์ประกาศเดินหน้าแก้มาตรา 112 ต่อไป
หัวหน้าพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ปราศรัยในสภาวันเลือกนายกรัฐมนตรี โจมตีศาลรัฐธรรมนูญว่า ก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญัติ เรื่องมาตรฐานจริยธรรม ต้องให้สภาและประชาชนเป็นผู้กำหนด ตอนหนึ่งของการอภิปรายหัวหน้าพรรคประชาชนถามสส.ทั้งสภาว่า...ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเคยมีรองประธานสภาฯ ต้องพ้นหน้าที่ เพราะคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญไหม? ซึ่งไม่เคยมีเลย #นายณัฐพงษ์อภิปรายโดยไม่ศึกษาว่า แม้แต่ประธานสภา นายยงยุทธ ติยะไพรัช ตอนเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ศาลฯตัดสินให้พ้นหน้าที่และตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ในปี 2551 จึงเห็นได้ว่า หัวหน้าพรรคประชาชน กับ พรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ถอดแบบเดียวกันมา คือ ไม่สนใจในความจริง ไม่นำพาต่อกฎหมาย และความจริงที่ประจักษ์เพราะมีธงในใจว่าต้องล้มสถาบันฯและศาลรัฐธรรมนูญให้ได้
รัฐธรรมนูญปี’60 ที่สังคมเรียกว่า เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง ที่มีเป้าหมายสร้างการเมืองสุจริตขึ้นในประเทศไทย โดยการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรม คุณธรรม และมีธรรมาภิบาลขึ้นมา เพื่อขจัดนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ และ นายทุนผูกขาด ออกจากการเมืองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จากบทเรียนยุบพรรคก้าวไกล และศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้นายเศรษฐาพ้นจากหน้าที่ จึงเป็นมาตรฐานการเมืองสุจริต ที่นักการเมืองกลุ่มนี้ ไม่นำพาไม่ใส่ใจ เนื่องจากมีจุดมุ่งหมาย เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันและศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ถึงพรรคประชาชน นักการเมืองกลุ่มนี้ ไม่เคยมีนโยบายแก้ปัญหาปากท้องประชาชน มีผลงานเดียวที่พวกเขาทำได้ คือส่งเสริมให้สังคมไทยแพร่ระบาดฝีดาษลิงง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม จะโทษนักการเมืองที่มีนโยบายเป็นปฏิปักษ์สถาบันฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มักง่ายเลือก สส.เข้าสภาตามกระแสบ้าคลั่ง ที่นักการเมืองสร้างกระแสขึ้นมาโดยขาดสติปัญญาไตร่ตรองว่า ความหายนะเกิดขึ้นตามมาและฝังใจในคำปราศรัยหลอกลวงโกหกพกลม จนมีคนกลุ่มหนึ่งตั้งเฟซบุ๊กขึ้นมา เพื่อเสนอ คอนเทนต์ทว่า..“วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร” ส่วนนักวิชาการ คนสอนหนังสือรวมถึงผู้เฒ่าใกล้ตาย ต่างสนับสนุนกลุ่มการเมืองต่อต้านสถาบันออกหน้าด้วยหวังว่า หากพรรคเป็น ปฏิปักษ์ต่อสถาบันได้เป็นรัฐบาล ตนอาจได้เป็นเสนาบดีสักครั้งก่อนตายไปจากโลกนี้
วันที่ 25 สิงหาคม บีบีซีภาษาไทยสัมภาษณ์คนสอนหนังสือจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) แสดงความกังวลต่อบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญที่กลายเป็น “อนุญาโตตุลาการทางศีลธรรม” ไม่ใช่แค่ผู้ชี้ขาดว่า อะไรผิด-ไม่ผิดรัฐธรรมนูญ คือตัดสินความชอบด้วยกฎหมาย แต่กลายเป็นผู้ตัดสินศีลธรรม ซึ่งไม่มีประเทศใดในโลก ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญมากขนาดนี้ “สิ่งที่ศาลทำไม่ใช่การตรวจสอบถ่วงดุล มันมากกว่านั้น ตอนนี้ไม่มีสมดุลแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและประชาชน และเป็นอำนาจทั้งทางโลก และทางธรรมเหนือกว่าอำนาจของสงฆ์ ของศาสนาอีก มันน่ากลัวมาก พอเอาการเมืองศีลธรรมมาใช้แบบสุดขั้ว กระทั่งแปลงมันมาเป็นข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรม เอาอำนาจตีความมาให้กับคณะบุคคล อันนี้คือผลผลิตเชิงรูปธรรมของการเมืองศีลธรรมแบบสุดขั้ว”
เขากล่าวกับ บีบีซีไทย แสดงให้เห็นว่า คนสอนรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัย ไม่นำพาต่อศีลธรรมและมาตรฐานทางจริยธรรมที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี’60เพื่อป้องกันคัดกรองผู้ไร้ศีลธรรม ไร้มาตรฐานทางจริยธรรมออกจากการเมืองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้คนสอนรัฐศาสตร์ คงไม่เคยได้ยิน คำพระที่ว่า “ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ” หรือ คนสอนหนังสือไม่สำเหนียกว่าที่ประเทศชาติ Ship หายอยู่ทุกวันนี้ เพราะคนไม่มีศีลธรรม หากคนสอนหนังสือได้เห็นความวิบัติของสังคมไทยในห้วงเวลากว่าสองทศวรรษที่พินาศเพราะคนไม่มีศีลธรรม หากคนสอนหนังสือสละเวลามาฟังผู้อาวุโสสักนิดเพื่อจะได้ผ่านกะโหลกหนาเข้าสู่สมองอันน้อยนิดว่า
#คนมีศีลธรรมจะไม่แปลงที่ธรณีสงฆ์มาเป็นสนามกอล์ฟ คนมีศีลธรรม จะไม่ฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยในขณะคนไทย Ship หายทั้งประเทศ เมื่อครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 กระทรวงการคลังต้องลดค่าเงินบาทแต่คนที่รู้ข้อมูลภายในล่วงหน้าตุน/ค้าดอลลาร์ได้กำไรกว่า 5 พันล้านบาทจากความวิบัติของไทยทั้งชาติ คนมีศีลธรรมต้องไม่โกหกคนไทยทั้งประเทศว่า ขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ให้จีนทั้งๆ ที่แอบนำข้าวขายหมุนเวียนกันภายในประเทศไทย และยังมีเรื่องไร้ศีลธรรมอีกมากมายที่คนสอนหนังสือไม่สำเหนียกว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติบ้านเมือง
การยุบพรรคก้าวไกลก็เช่นกัน หากไม่มีพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาลงโทษผู้ที่ไม่มีพฤติกรรมกระทำผิดกฎหมายร้ายแรงไหม? โปรดใช้สมองอย่าริใช้อวัยวะส่วนอื่นคิด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คนสอนหนังสือไม่สำเหนียกถึง “การเมืองสุจริตที่ศาลรัฐธรรมนูญสร้างมาตรฐานใหม่” แต่อย่างน้อยที่สุดนักการเมืองสันหลังหวะก็เริ่มสำนึกได้บ้างแล้ว จะเห็นได้ว่าการตรวจสอบคุณสมบัติว่าที่รัฐมนตรีใหม่ของรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จึงได้ตรวจสอบเข้มงวดเป็นพิเศษ รัฐมนตรีบางคนที่เคยลอยหน้าเดินเข้าทำเนียบในอดีต อาจไม่มีโอกาสเป็นเสนาบดีอีกต่อไป นอกจากว่าบรรดานักการเมืองสันหลังหวะจะสุมหัวกันแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้
สุทิน วรรณบวร

โฆษกรัฐบาล ฟาด 'วันนอร์' ย้อนแย้ง ชี้ช่องฝ่ายค้านยื่นซักฟอก ปิดทางยุบสภาฯ
'ชนนพัฒฐ์'พร้อมสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ประกาศวางมือทางการเมือง ถ้าผิดจริง
ตะลึง! สิงคโปร์ยึด'นอแรด'คาสนามบินชางงี ลอบขนจากแอฟริกาจ่อส่งลาว
นักวิเคราะห์จีนยก'พระราชินีสุทิดา' เป็นต้นแบบผู้หญิงยุคใหม่
ศึกบัตรทองเดือด!!! 'หมอเหรียญทอง'ปลุกต้าน NGO

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี