การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง และไม่สามารถแยกจากกันได้อย่างเด็ดขาดประเทศใดมีระบบการเมืองดี เศรษฐกิจ และสังคมก็มักจะดีตามไปด้วย
การเมืองเป็นตัวกำหนดระบบเศรษฐกิจ และในขณะเดียวกันระบบเศรษฐกิจก็สะท้อนรูปแบบของการเมืองการปกครองได้อย่างชัดเจน แม้อาจจะมีบางประเทศ(อย่างเช่น จีน) ประกาศว่า ตนเองใช้รูปแบบ หนึ่งประเทศ สองระบบ คือการปกครองเป็นแบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ แต่อนุญาตให้บางพื้นที่ของประเทศมีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมได้ แต่นั่นก็ยังคงหมายความว่าการเมืองเป็นตัวกำหนดเศรษฐกิจอยู่นั่นเอง
เมื่อการเมืองดี เศรษฐกิจดี สังคมก็จะดีตามไปด้วย เพราะเมื่อคนในสังคมอยู่ใต้ระบบการปกครองที่ดี และมีระบบเศรษฐกิจดี ผู้คนในสังคมก็จะมีความสุข ทำมาค้าขาย ทำมาหากิน และดำรงชีวิตได้อย่างปรกติสุข หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นในสังคม ก็จะสามารถแก้ไขได้ด้วยกลไกการเมือง
ทีนี้ลองมาร่วมกันพิจารณาความเกี่ยวพันของดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของไทยกับรัฐบาลไทยแต่ละชุด เราพบว่าบางรัฐบาลเข้าสู่อำนาจแล้วดัชนีหุ้นขึ้น แต่บางรัฐบาลเข้าสู่อำนาจแล้วดัชนีหุ้นตก ถามว่าดัชนีหุ้นเกี่ยวข้องกับรัฐบาลมากน้อยเพียงใด และอย่างไร
ก่อนที่จะตอบคำถามข้างต้นได้ ก็ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่าการเมืองมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ และรูปลักษณ์ความน่าเชื่อถือของนักการเมือง และรัฐบาลก็มีผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าตลาดหุ้นไทยนั้นมีความอ่อนไหวมาก ดังนั้น ก็ต้องไม่ลืมว่าบางครั้งอาจจะมีการเล่นกลเล่นเกมที่ไม่ชอบธรรมในตลาดหุ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะจากกลุ่มอำนาจทุน และอำนาจรัฐที่จับมือกับอำนาจทุน
คราวนี้เรามาพูดถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันกันดีกว่า คนที่ติดตามตลาดหุ้นไทยมาโดยตลอดจะพบเห็นตรงกันว่า หลังจากที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี
คนใหม่ชื่อ แพทองธาร ชินวัตร โดยที่ยังไม่มีคณะรัฐมนตรี แต่ก็ปรากฏว่าดัชนีหุ้นไทยเพิ่มตัวขึ้นอย่างน่าสังเกต แล้วยิ่งเมื่อประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ล่าสุดได้สำเร็จ ก็ปรากฏว่าดัชนีหุ้นไทยพุ่งทะยานอย่างน่าจับตามองยิ่ง รวมถึงมูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดก็เพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาทอย่างน่าฉงน
ถามว่าควรจะยินดีหรือไม่ควรยินดีที่ดัชนีหุ้นไทยพุ่งทะยานอย่างน่าสงสัยเช่นนี้ ตอบว่า ก็แล้วแต่มุมมองของผู้ตอบคำถาม หากเป็นคนที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการพุ่งทะยานของดัชนีหุ้นไทย ก็ต้องตอบว่าน่ายินดียิ่ง แต่ก็ต้องติงไว้ ณ ตรงนี้ว่า ความยินดีที่เกิดขึ้นนั้นจะยั่งยืนยาวนานได้แค่ไหน แต่หากเป็นมุมมองของคนที่ตั้งข้อสังเกตกับการเพิ่มอย่างพิสดารของดัชนีหุ้นไทย ก็ต้องถามกลับโดยพลันว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มอย่างผิดสังเกตในระยะนี้ มีเหตุปัจจัยใด หรือมีเหตุผลใดสนับสนุนได้อย่างมั่นคงว่าดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น โดยไม่มีสิ่งผิดปกติทำให้มันพุ่งทะยานขึ้นไป
อย่าลืมว่า แกนนำรัฐบาลชุดล่าสุดก็ยังคงเป็นพรรคเพื่อไทย และคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่ก็ยังคงหน้าเดิมๆ ซึ่งไม่ค่อยต่างไปจากคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน แต่ที่เปลี่ยนไปแน่ๆ คือตัวนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดคือลูกสาวคนเล็กของ ทักษิณ ชินวัตร
เพราะฉะนั้น จึงมีคำถามว่า แค่เพียงเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีจาก เศรษฐา เป็น แพทองธาร แล้วทำให้ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างมหัศจรรย์ กระนั้นหรือ หรือว่ามันมีอะไรน่าเคลือบแคลงสงสัย หรือไม่
ถามว่าทำไมเมื่อมีนายกรัฐมนตรีชื่อแพทองธารแล้วดัชนีหุ้นไทยเพิ่มมากกว่า 100 จุด ภายในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วถามต่อไปว่าทำไมมูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยจึงเพิ่มมากถึง 1 แสนล้านบาทได้อย่างอัศจรรย์ หลังจากประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ล่าสุด ทั้งๆ ที่รัฐบาลยังไม่ได้ลงมือทำงานบริหารประเทศ ยังไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ ที่ยังคั่งค้างอีกมากมายในประเทศนี้ และยังไม่มีปัจจัยภายนอกตัวใดที่ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจไทย
ประเทศไทยยังคงมีปัญหาคนว่างงานจำนวนมาก มีปัญหาหนี้สินครัวเรือนในระดับสูงอย่างน่าวิตก มีหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง การส่งสินค้าออกของไทยยัง
ไม่ได้ดีขึ้นอย่างทันตาเห็น นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยก็ยังไม่ได้เพิ่มจนล้นทะลัก รายได้จากการท่องเที่ยวก็ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบทบเท่าทวีคูณแต่ประการใด แถมไทยยังประสบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาความล้าหลังในการผลิตสินค้าที่โลกต้องการ และยังมีปัญหาน้ำท่วมหนักในเขตภาคเหนือ ซึ่งกำลังจะส่งผลกระทบด้านลบต่อภาคการผลิตสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมของไทยในอนาคตอันใกล้ แล้วยังมีความกังวลว่าอาจจะเกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในเขตพื้นที่ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพฯตามมาอีกด้วย แล้วหากมองไปนอกประเทศก็จะพบว่ายังคงเกิดปัญหาด้าน geopolitics หรือปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์อีกในหลายภูมิภาคของโลก อาทิ ปัญหาที่ยังคั่งค้างระหว่างรัสเซียกับยูเครน ปัญหาการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสและพันธมิตรของฮามาส ปัญหาความตึงเครียดในเขตทะเลจีนใต้ ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และสหภาพยุโรปที่มีต่อจีน เป็นต้น
เพราะฉะนั้น จึงสมควรตั้งข้อสังเกตว่าทำไมดัชนีหุ้นไทยจึงพุ่งทะยานอย่างน่าพิศวง แน่นอนว่าความเชื่อมั่นต่อนักการเมืองและต่อรัฐบาลใหม่ อาจจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องถามกลับเหมือนเดิมว่า ก็ในเมื่อพรรคเพื่อไทยยังคงเป็นแกนนำรัฐบาลเหมือนเดิม คณะรัฐมนตรีก็เป็นคนหน้าเดิมเกือบทั้งหมด แต่แค่เพียงมีนายกรัฐมนตรีชื่อแพทองธารเท่านั้น สิ่งนี้จะทำให้ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มมากร้อยกว่าจุดภายในระยะเวลาอันสั้นได้ กระนั้นหรือ
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยตัวหนึ่งที่ดูเสมือนว่าน่าจะช่วยหนุนส่งตลาดหุ้นไทยได้มากพอสมควร คือกองทุนวายุภักษ์ มูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท โดยสังคมมองว่ากองทุนนี้จะเข้าไปช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็มีคำถามตามมาว่าแค่เพียงกองทุนวายุภักษ์เพียงตัวเดียว จะทำให้ดัชนีหุ้นไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและถาวร จริงหรือ
มีข้อน่าสังเกตอีกประการคือในขณะนี้กองทุนวายุภักษ์ยังไม่ได้มีผลในทางปฏิบัติแท้จริง แล้วทำไมดัชนีหุ้นไทยจึงแสดงอาการตอบรับที่น่าจะเกินเหตุมากเกินไป จึงมีคำถามว่ามีใครเข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซงตลาดหุ้น หรือไม่
ส่วนที่อ้างว่านักลงทุนต่างชาติหวนกลับมาซื้อหุ้นไทยมากมายอย่างผิดสังเกต ก็ต้องถามอีกว่า ทำไมนักลงทุนต่างชาติจึงรีบร้อนเข้ามาซื้อหุ้นไทยในระยะนี้ อะไรทำให้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจถึงเพียงนั้น แล้วยังมีคำถามที่น่าสนใจมากกว่า นักลงทุนต่างชาติที่ถูกระบุว่าเข้ามาซื้อหุ้นไทยนั้น เป็นนักลงทุนต่างชาติตัวจริง หรือนักลงทุน
ต่างชาติหัวดำ (หมายถึงนักลงทุนไทยที่ซื้อขายหุ้นในกระดานต่างชาติหรือเปล่า)
มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.84 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ โดยสังเกตเห็นได้ชัดเจนจาก SET 100 index และ SET 50 index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.19 เปอร์เซ็นต์ และ 3.27 เปอร์เซ็นต์ (เมื่อเปรียบเทียบกับวันก่อนหน้านั้น)ตามลำดับ แล้วเมื่อดู SET index วันที่ 5 กันยายน 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.23 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา คือนับจาก 6 สิงหาคม 2567
กลับไปตอบคำถาม ทำไมดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตอบได้ว่า เพราะเหตุปัจจัยดังนี้ การมีรัฐบาลชุดใหม่ ที่เชื่อว่าน่าจะทำงานต่อจากรัฐบาลเดิมได้อย่างง่ายดาย ไม่มีอุปสรรคใดๆ มากนัก เพราะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็ล้วนแล้วแต่มาจากรัฐมนตรีชุดเดิม จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนโยบายสาธารณะมากนักแต่ก็ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลผสมชุดล่าสุดก็ยังคงมีแนวทางการทำงานที่ไม่ได้สอดประสานตรงกันในทุกนโยบาย โดยเฉพาะกัญชาเสรี, Entertainment Complex, Digital Wallet เป็นต้น
ประเด็นต่อมาคือแรงหนุนจากกองทุนวายุภักษ์ มูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท คาดว่าจะเริ่มขายกองทุนนี้ได้ในช่วงกลางเดือนกันยายน และคาดว่าเงินจากกองทุนนี้จะไหลเข้าไปในหุ้นตัวใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย
ประเด็นที่สามคือ นักลงทุนต่างชาติหวนกลับมาซื้อหุ้นในตลาดของไทย หลังจากเกิดความกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ เนื่องจากภาคการผลิตของสหรัฐ หดตัวลง และยังมีปัญหาหุ้น Chip และหุ้น AI ในสหรัฐ ล่วงอย่างหนัก จนฉุดตลาด รวมถึงการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางของสหรัฐ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
ปัจจัยข้างต้นมีส่วนทำให้นักลงทุนต่างชาติหวนกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นของไทย โดยมองไปที่หุ้นตัวใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ของไทยเป็นสำคัญ
ขอยืนยันว่าการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้ง ทั้งหมดล้วนส่งผลต่อกันและกันอย่างยากที่จะดำรงอยู่โดยเอกเทศได้ ในขณะที่คนจำนวนไม่น้อยกำลังตื่นเต้น ลิงโลด และยินดีกับการเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ของดัชนีหุ้นไทย แต่ก็ต้องเตือนสติตัวเองไว้ด้วยว่า รัฐบาลยังไม่ได้ลงมือทำงานแม้แต่น้อย ปัญหาเดิมๆ ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม การทุจริตคอร์รัปชั่นในบ้านเมืองของเราก็ยังไม่ได้ถูกขจัดไปให้หมดสิ้น การส่งออกก็ยังไม่ฟื้นตัว หนี้สินต่างๆ ก็ยังท่วมหัวท่วมหู เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรชะล่าใจ หรือตายใจกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีหลักทรัพย์โดยไม่มีข้อสังเกตใดๆ
และขอย้ำทิ้งท้ายว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เป็นอิสระโดยแท้จริง เพราะยังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกกลุ่มทุนใหญ่ รวมถึงกลุ่มอำนาจรัฐที่ร่วมมือกับกลุ่มทุนใหญ่เข้าแทรกแซงได้ตลอดเวลา ขอยืนยันว่าเราทุกคนไม่ได้คัดค้านการเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้นไทย แต่เพียงขอให้การเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้นไทยเป็นการเกิดขึ้นที่โปร่งใส ขาวสะอาดและปราศจากการเล่นกลเล่นเกมโดยนักการเมืองที่มีอำนาจรัฐเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี