ขณะนี้น้ำท่วมทางภาคเหนือ เป็นอุบัติภัยที่รุนแรงมากที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ เพราะมีต้นเหตุจากพายุไต้ฝุ่นยางิที่รุนแรงมาก ทำให้น้ำท่วมทางจีนตอนใต้ รวมทั้งพม่าและลาวด้วย ซึ่งเป็นการทำให้ปริมาณน้ำต้นแม่น้ำโขงมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ และหางพายุไต้ฝุ่นนั้นก็พัดฝนเข้ามาถล่มภาคเหนือจนเกิดความเสียหายยับเยิน ผู้คนบาดเจ็บล้มตายนับหมื่น เกิดความเสียหายเป็นทรัพย์สินนับแสนล้าน
ความจริงอุทกภัยครั้งนี้ก่อเค้ามาตั้งแต่พายุไต้ฝุ่นเข้าจีนและเวียดนามแล้ว แต่น่าเสียดายที่ประเทศนี้มัวแต่ทะเลาะฟาดงวงฟาดงาด้วยปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง หามีใครใส่ใจดูแลความเดือดร้อนเป็นตายของราษฎรไม่ แม้กระทั่งกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นสดมภ์ใหญ่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่โดยตรงก็ไม่มีการสั่งการใดๆ ที่เห็นได้ว่าเป็นทางป้องกันหรือเตรียมการช่วยเหลือประชาชนไว้ก่อนเลย
คงมีแต่ภาคประชาสังคมและอาสาสมัครประชาชนจำนวนมากที่เคลื่อนตัวเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว น้ำใจเอื้ออาทรของประชาชนด้วยกันดังกล่าวนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยมีขึ้นในชาติอื่น แต่กลับเป็นวัฒนธรรมประจำชาติของเรา และมีผู้ใจบุญที่เสียสละเป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้นตลอดเวลา จนก่อเกิดเป็นพลังบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2567 เป็นต้นมา ฝายและเขื่อนกั้นน้ำต่างๆ พังทลาย น้ำไหลทะลักเข้าเมือง ถนนขาดหลายเส้นทาง เพราะปริมาณน้ำมีมากกดดันจนถนนรับน้ำหนักมวลน้ำไม่ไหว และท่อระบายน้ำตามถนนสายต่าง ๆ ก็ไม่เพียงพอต่อการระบายน้ำ ดังนั้นเมื่อปริมาณน้ำขึ้นสูง มวลน้ำก็ยิ่งมากขึ้น ก่อตัวเป็นพลังกดดันมหาศาล ในที่สุดถนนก็รับน้ำหนักมวลน้ำที่กดดันมาไม่ได้ ก็พังทลายขาดสะบั้นลง น้ำก็ไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎรอีกฟากถนนหนึ่งอย่างรวดเร็ว เรียกว่าชั่วไม่กี่นาทีก็ท่วมถึงหลังคาบ้านแล้ว เป็นเหตุให้ราษฎรเดือดร้อนเสียหายและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ นายกรัฐมนตรีได้แถลงกับสื่อมวลชนว่ารัฐบาลยังไม่สามารถสั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ช่วยเหลือประชาชนได้เพราะยังไม่ได้แถลงนโยบายรัฐบาล ซึ่งต้องถือว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง เป็นการเชย ที่เกิดผลเสียหายแก่บ้านเมืองและราษฎรอย่างใหญ่หลวง สมแล้วที่เขาว่ากันว่าเป็นรัฐบาลมือใหม่หัดขับ แต่ก็น่าตำหนิไอ้พวกมือเก่าเก๋ากึ๊กที่ใจไม้ไส้ระกำไม่บอกกล่าวตักเตือนรัฐบาลให้จัดการเรื่องนี้
เพราะว่าเป็นความเข้าใจผิดของนายกรัฐมนตรีโดยแท้ เนื่องจากรัฐบาลนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้วก็ได้ชื่อว่าได้เข้ารับตำแหน่งแล้วนับแต่วันโปรดเกล้าฯ นั้น แต่รัฐธรรมนูญเจ้ากรรมบัญญัติไว้ว่าแม้มีตำแหน่งแล้วก็ยังทำหน้าที่ไม่ได้จนกว่าจะเข้าถวายสัตย์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อเข้ารับหน้าที่ เมื่อนั้นแหละจึงมีอำนาจหน้าที่เต็มตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายสัตย์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567ดังนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะจึงได้เข้ารับหน้าที่มาแล้วอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่6 กันยายน 2567 สามารถใช้อำนาจรัฐในการบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มที่
ยกเว้นเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญที่จะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อนจึงจะสามารถทำได้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอันใดเพราะเป็นเรื่องเพียงแค่แจ้งว่ารัฐบาลจะบริหารราชการแผ่นดินอย่างไรเท่านั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคหรือตัดอำนาจสั่งการในการบริหารราชการปกติโดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม้แต่น้อย
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องปล่อยไก่และเป็นเรื่องที่เชยมากเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นแต่ก็เกิดขึ้นแล้ว และสะท้อนให้เห็นว่าความรู้สึกห่วงใยรับผิดชอบต่อความเป็นความตายของราษฎรของนักการเมืองไทยนั้นยังน้อยมาก เทียบไม่ได้กับข้าราชการระดับนายอำเภอในสมัยราชวงศ์ซ้อง ดังที่ปรากฏในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่องเปาบุ้นจิ้นที่ลือลั่นสนั่นโลกมาแล้ว
ความในเรื่องนั้นก็คือมีนายอำเภอคนหนึ่งชื่อหม่าสงโหย่ว ได้ฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการดูแลรักษาคลังเสบียงหลวง ที่ทุกอำเภอต้องสะสมคลังเสบียงหลวงไว้สำหรับกองทัพใช้ในราชการสงคราม หากไม่มีหมายรับสั่งอนุญาตก็จะมีความผิดโทษถึงประหารชีวิต
ปรากฏว่าได้เกิดเหตุแม่น้ำฮวงโหท่วม ชาวบ้านอพยพหลบภัยหลายแสนคน พลัดที่นาคาที่อยู่ เจ็บไข้ป่วยตายเป็นจำนวนมากจนเกิดความวุ่นวายขึ้น ส่อเค้าว่าจะเป็นจลาจลเพราะความอดอยากหิวโหย นายอำเภอหม่าสงโหย่วจึงสั่งเปิดคลังเสบียงหลวงให้เอาข้าวไปช่วยเหลือราษฎรกินแก้อดตายก่อนจึงถูกดำเนินคดีฐานฝ่าฝืนพระบรมราชโองการที่มีโทษถึงขั้นประหารชีวิตซึ่งผู้ว่าราชการมณฑลไต่สวนคดีแล้วมีคำสั่งประหารชีวิต แต่ราษฎรร้องทุกข์ต่อเปาบุ้นจิ้นในฐานะผู้ตรวจราชการแทนพระองค์จึงเกิดการไต่สวนคดีนี้ใหม่
หม่าสงโหย่วสอบถามเปาบุ้นจิ้นได้ความว่าเจตนาในการสร้างคลังหลวงก็เพื่อให้ทหารใช้เป็นเสบียงปกป้องราษฎร ซึ่งขณะนี้ไม่มีภัยสงครามแต่มีอุทกภัย ซึ่งราษฎรประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกับภัยสงครามนั้นเลย เหตุการณ์วุ่นวายบานปลาย หม่าสงโหย่วจึงสั่งเปิดคลังหลวงด้วยความจำเป็น
เปาบุ้นจิ้นถามว่าทำไมไม่ทำตามกฎขออนุญาตก่อนก็จะไม่มีความผิด หม่าสงโหย่วตอบว่าถ้าทำตามขั้นตอนก็ยิ่งล่าช้า เหตุการณ์ก็จะยิ่งบานปลาย คนล้มตายก็จะมากขึ้น และอาจวุ่นวายจนแก้ไขไม่ได้จึงตัดสินใจเปิดคลังหลวง เปาบุ้นจิ้นตอบว่าแม้เป็นความปรารถนาดี แต่มีโทษหนักถึงประหาร
หม่าสงโหย่วก็บอกว่าแผ่นดินทั่วหล้าเป็นของฮ่องเต้ ราษฎรก็เหมือนบุตรหลานของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ปกครองแผ่นดินโดยธรรมและรักราษฎร ดังนั้น
ถ้าหม่าสงโหย่วตายไปคนเดียวแต่สามารถช่วยลูกหลานฮ่องเต้นับหมื่นได้ก็พร้อมจะตาย ซึ่งทำให้เปาบุ้นจิ้นประทับใจมาก สั่งให้พ้นจากข้อหาและคืนตำแหน่งให้ กลายเป็นเรื่องราวที่ลือลั่นทั่วโลกมาแล้ว
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนี้จึงควรต้องถือจิตใจของหม่าสงโหย่ว ไม่ใช่หวาดผวาปัญหาข้อขัดข้องทางกฎหมายและเป็นความเข้าใจผิดโดยแท้ด้วย เชยแหลก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี