วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“โดนัลด์ ทรัมป์”วัย 78 ปี จากพรรครีพับลิกัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง นับเป็นวาระที่สอง หลังจากพักยกไป 4 ปี เพราะถูก“โจ ไบเดน” วัย 81 ปีจากพรรคเดโมแครตสอยร่วงจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563
“ทรัมป์”กลับมาผงาดอีกครั้ง จากการเอาชนะ“กมลาแฮร์ริส”ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาและชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย วัย 60 ปีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครต น่าจะส่งผลให้สถานการณ์ในภูมิภาคต่างๆบนโลกใบนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย
แต่ถึงที่สุดก็คงจะไม่เปลี่ยนแบบสวิงสุดขั้วชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะธาตุแท้ของสหรัฐฯนั้นก็ยังคงเป็นสหรัฐฯ ที่คิดว่าตนเองเป็น“เจ้าโลก” และคำนึงแต่เรื่องผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก
เบื้องแรกนี้ ต้องจับตา ว่าสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2557และได้ยกระดับจากการประกาศของประธานาธิบดีปูตินเป็น“ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ”เมื่อวันที่ 24กุมภาพันธ์ 2565ด้วยเหตุผลว่าเพื่อลบล้างอิทธิพลของ“นาซี”ออกจากยูเครน ทั้งโจมตียูเครนทางอากาศครั้งใหญ่ด้วยขีปนาวุธใส่“เคียฟ”ที่เป็นเมืองหลวงของยูเครนและเมืองอื่นๆ พร้อมกับการโจมตีด้วยกำลังภาคพื้นดิน..นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมา 2 ปีกว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะยุติหรือเกิดสันติภาพได้อย่างไร
ตลอดระยะเวลาสองปีกว่าของสงคราม“รัสเซีย-ยูเครน” ไม่เพียงแต่นาโต้และชาติพันธมิตรของยูเครนเท่านั้นที่ส่งความช่วยเหลือทั้งทางทหารและทางการเงินให้แก่ยูเครน สหรัฐอเมริกายังถือเป็นตัวหลักที่ทำให้ยูเครนต่อกรกับรัสเซียยืนยาวมาได้จนถึงวันนี้ได้
เฉพาะประเทศที่เป็นรัฐสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ “EU” 27 ประเทศที่ต่างก็เดือดร้อนจากสงคราม“รัสเซีย-ยูเครน”และเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจไปตามๆกัน นับตั้งแต่รัสเซียเปิด“ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ”เพราะไปร่วมมือกับสหรัฐฯในการคว่ำบาตรรัสเซีย ได้ส่งความช่วยเหลือทั้งความช่วยเหลือทางทหาร,ความช่วยเหลือทางการเงิน และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ให้กับยูเครนไปแล้วไม่น้อยกว่า 9.2หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.23 ล้านล้านบาท
ขณะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีอันไม่ต่างใช้ยูเครนเป็น“สงครามตัวแทน”ให้สู้รบกับรัสเซีย และคอยถือหางประธานาธิบดี“โวโลดีมีร์เซเลนสกี”แห่งยูเครน วัย 46 ปีที่มีปูมหลังเป็น“ดาราตลก”ในฐานะเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดาน ปรากฏว่าได้ทุ่มเงินแบบสู้หมดหน้าตักไปแล้วไม่ต่ำกว่า 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท พอๆกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศไทย
ส่วนยูเครนโดยผู้นำอดีตดาราตลกนั้นเป็นฝ่ายที่แบมือขอรับความช่วยเหลือจากนาโตและชาติตะวันตกที่มีสหรัฐฯเป็นหัวโจกอย่างเดียว และก็ร้องขอแบบไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ในการทำสงคราม อาทิเช่น รถถัง, เครื่องบินรบตลอดจนระบบป้องกันทางอากาศ และปืนใหญ่พิสัยไกลอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2567 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันนี้การส่งกำลังบำรุงในรูปแบบการช่วยเหลือให้กับยูเครนด้านต่างๆจากประเทศผู้ถือหางเริ่มน้อยลง ทำให้มีคำถามว่าชาติพันธมิตรจะยังคงสนับสนุนช่วยเหลือยูเครนทำสงครามตัวแทนสู้กับรัสเซียไปได้นานอีกแค่ไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาฯที่เป็นหัวโจก เมื่อมีการเปลี่ยนข้างจากพรรคเดโมแครตมาเป็นพรรครีพับลิกัน ยังจะคงเดินหน้าหนุนช่วยแบบเท่าไหร่เท่ากันต่อไปอีกหรือไม่ซึ่งเวลานี้แผนการช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐฯที่จะต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 2.15 ล้านล้านบาทยังค้างอยู่ในสภาครองเกรสเพราะมีความเห็นขัดแย้งกันระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน
การเปลี่ยนผู้นำของสหรัฐฯจาก“โจ ไบเดน” มาเป็น “โดนัลด์ทรัมป์” คงต้องดูว่างบประมาณก้อนมโหฬารที่จะต้องนำไปสนับสนุนให้ยูเครนสู้รบกับรัสเซียแบบไม่มีวันที่สงครามจบสิ้นลงวันไหนนั้น ทรัมป์ยังจะเดินหน้าต่อหรือ“ตัดตอน”เพื่อให้สงคราม“รัสเซีย-ยูเครน”ยุติ
สำหรับประเทศไทยเราก็น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างเช่นกันหลังจาก“ทรัมป์”ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน“โจไบเดน” อย่างน้อยก็น่าจะมีการเปลี่ยนตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยที่ชื่อ“โรเบิร์ต เอฟ.โกเดค”ซึ่งชอบถือหางกลุ่มการเมืองในซีกที่ต้องการ“ล้มสถาบัน” และทำตัวเป็นหอกข้างแคร่รัฐไทยอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ “โรเบิร์ต เอฟ.โกเดค”ได้เปิดทำเนียบเอกอัครราชทูตต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ รวมถึงสื่อมวลชนร่วมงานกิจกรรมติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนเมื่อวานนี้ และได้แถลงกับสื่อว่า “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรผมรับรองกับท่านได้ว่า สหรัฐฯ จะยังคงเป็นหุ้นส่วนที่เข้มแข็งของไทยเราจะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญแนบแน่น เสมือนผืนผ้าที่ถักทอขึ้นจากสายสัมพันธ์ของเราในด้านการค้าการลงทุน ความมั่นคง การศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของเรา”
จะอย่างไรก็ตามอย่างที่กล่าวไว้ ถึงที่สุดแล้วสหรัฐฯก็ยังคงเป็นสหรัฐฯ เชื่ออะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ดังวรรคทองของ“จอห์น เอฟ.เคนเนดี”อดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐฯ ที่เคยกล่าวไว้ว่า"อย่าถามว่าประเทศของคุณทำอะไรให้คุณได้บ้าง แต่จงถามว่าคุณทำอะไรให้ประเทศของคุณได้บ้าง"
ในทางกลับกันสำหรับเราคนไทยคงจับความได้ว่า “อย่าถามว่าสหรัฐฯจะทำอะไรให้ไทยได้บ้างแต่จงถามว่าไทยจะทำอะไรให้สหรัฐฯได้บ้าง” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

‘สตูล’วิกฤตต่อเนื่อง เมืองยังจม ‘ละงู’น้ำสูงเท่าอก ปิด 7 เส้นทางหลัก เตือนดินถล่มหนัก
'พลตรี หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล'ได้สิ้นชีพิตักษัยอย่างสงบ สิริชันษา 78 ปี
'แนท เกศริน'สลัดภาพเซ็กซี่ ลุยน้ำช่วยผู้ประสบภัยหาดใหญ่
‘ชัยภูมิ’หนาวแล้ว! เชิญชวนสัมผัสโอโซนบริสุทธิ์ 12 องศาฯที่‘ผาสุดแผ่นดิน’
'รมช.มท.'คุย'ผู้ว่าฯสงขลา' ระดับน้ำลดลงมาก ระดมอุปกรณ์เครื่องสูบน้ำช่วยทันที

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี