อาการ “มันส์ไมค์” เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กับ นายทักษิณ ชินวัตร เมื่ออยู่บนเวทีปราศรัยที่จังหวัดอุดรธานี
อุดรธานี กำลังจะมีการเลือก “นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” หรือ อบจ. ในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้
พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครลงแข่งขัน และมีเดิมพันต่อคำว่า “เมืองหลวงของคนเสื้อแดง” จนไม่อาจเสียเก้าอี้นี้ให้แก่พรรคการเมืองอื่นได้ โดยเฉพาะ “พรรคประชาชน”
เมื่อทอดตาดูในพรรคเพื่อไทย จะมีใครเรียก “คะแนน” ได้เท่ากับ “คนนอกพรรค” อย่างนายทักษิณได้ ในเมื่อทุกคนล้วนอยู่ในสภาพที่ถูกมองว่า “เป็นขี้ข้า” ของตระกูลชินวัตร จะสะเออะมามีบทบาท มีสติปัญญาโดดเด่นกว่าหัวหน้าพรรค คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตรกับพ่อของเธอ ผู้เป็น “ศาสดา” ของคนเสื้อแดงได้อย่างไร
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ “ทักษิณ” ต้องไปอุดรฯ
ไปเอา “คนเสื้อแดง” กลับมา ไป “รักษาเมืองหลวง”
เพราะขืนปล่อยให้พรรคประชาชนชนะที่อุดรฯ“ลัทธิเอาอย่าง” มิลามปามไปยังจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานอันเป็นพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยยึดครองมาก่อน มีประชากรมาก และมีเก้าอี้ สส. มาก ไปได้อย่างไร
นั่นเป็นเหตุให้ทักษิณถูกอัญเชิญไป “เป่ากระหม่อมคนเสื้อแดง” แล้วแปลงเป็นสินทรัพย์ทางการเมือง คือ เป็นคะแนนนิยมแบบ “หัวปักหัวปำ” ให้จงได้
1) ทักษิณมีบทเรียนจากจังหวัดปทุมธานีในคราวที่พรรคเพื่อไทยสนับสนุน “นายชาญ พวงเพ็ชร์” ชิงเก้าอี้นายก อบจ. ปทุมธานี มาแล้ว บทเรียนแรกคือ การใช้ “บ้านใหญ่” ช่วยกันกำกับพื้นที่ ควบคุมพื้นที่ เอาคะแนนมาจากแต่ละพื้นที่ย่อย มากองรวมกัน นั่นทำให้ชาญชนะบิ๊กแจ๊ส “คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” แบบห่างพอสมควร ที่อุดรธานี พรรคเพื่อไทยมี สส. เป็นมือเป็นตีนเหมือนปทุมธานีมี “บ้านใหญ่ 8 ตระกูล” จงไปเอาคะแนนจากระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ในพื้นที่ของพวกเอ็งมา ส่วนข้า จะเป็น “หัวรถจักร” ลากความสนใจ ข่าว และคะแนนนิยมให้พุ่งสูงขึ้นเอง
2) ที่จังหวัดปทุมธานี “ทักษิณ” จึงขึ้นเวทีปราศรัยในงานบวชลูกชายนายกเบี้ยว ซึ่งเป็นหนึ่งใน “บ้านใหญ่” ที่ทักษิณไปตั้งวงกินข้าวด้วย และตกลงกันว่า
จะช่วยผลักดันนายชาญให้เป็นนายก อบจ. ปทุมธานี กกต. แจกใบเหลือให้ชาญทันที เพราะนายกเบี้ยวก็ดี ทักษิณก็ดี แสดงตนเป็นคนของผู้สมัครชื่อชาญ ดันจัดงาน แม้จะเป็นงานบวช แต่ก็แฝงไว้ด้วยการจัดเลี้ยง การปราศรัย
3) เมื่อไปอุดรฯ ทักษิณจึงต้องมีชื่อเป็น “ผู้ช่วยหาเสียง”ได้ค่าแรงวันละ 300 บาท และตั้งเวทีปราศรัยให้เป็นกิจจะลักษณะ ไม่มีการจัดเลี้ยงไง กระนั้นก็ตาม ใช่ว่า“ผู้ช่วยหาเสียง” (ที่ต้องเป็นทีมหาเสียง เพราะทักษิณไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย) จะไม่สร้าง “ความเสี่ยง” ให้แก่ผู้สมัครอีกครั้ง
4) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า มีสื่อโทรมาขอความเห็นกรณี คุณทักษิณ ไปช่วยหาเสียง อบจ. อุดรธานี ขอตอบทีละประเด็นเพื่อให้ทราบทั่วไปตามนี้
1. คุณทักษิณ ไปช่วยหาเสียงได้หรือไม่
คำตอบ ได้ เนื่องจากคุณทักษิณถูกตัดสิทธิทางการเมืองในการลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่มีสิทธิที่จะร่วมกิจกรรมการเมืองในฐานะผู้ช่วยหาเสียง โดยผู้สมัครต้องทำหนังสือแจ้ง กกต. (มาตรา 66 พ.ร.บ. เลือกตั้งท้องถิ่น)
2.มีป้ายรูปคุณทักษิณ ในการหาเสียงประกบกับผู้สมัครได้หรือไม่
คำตอบ ได้ เนื่องจากระเบียบการหาเสียง ระบุเพียงว่า การนำภาพบุคคลใดมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งต้องได้รับคำยินยอมจากบุคคลนั้นเท่านั้น (ข้อ 18 ระเบียบ การหาเสียงท้องถิ่น 2563) แตกต่างจาก ระเบียบการหาเสียง สส. ที่เอาภาพบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องมาลงไม่ได้
3.คุณทักษิณพูดบนเวทีว่า ถ้าจะเลือกทักษิณ ให้เลือกเบอร์ 2 ผิดหรือไม่
คำตอบ มีโอกาสสุ่มเสี่ยงว่า ผิดมาตรา 65(5) พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น ว่าด้วยการหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมผู้สมัคร ผู้ทำผิด มีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี (มาตรา 126 พ.ร.บ. เลือกตั้งท้องถิ่น)ส่วน ผู้สมัคร อาจได้รับคำวินิจฉัยให้เป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต (ใบเหลือง) ได้
4.ใครมีสิทธิร้องต่อ กกต.
ตอบ ต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการเลือกตั้ง อบจ.อุดรธานี คือ ผู้สมัครด้วยกัน หรือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ชัดเจนนะครับ
5) ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของ มาตรา 65(5) พ.ร.บ.ท้องถิ่น ว่าด้วยการหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร ที่ อ.สมชัย อ้างถึง คือ อาจนำมาใช้กับพฤติกรรมของ “ผู้ช่วยหาเสียง” ที่ชื่อ “ทักษิณ” ได้อีก ในกรณีของการปราศรัย อ้างถึงการใช้เงินส่วนตัว 300 ล้านบาท ในการจะรื้อฟื้นโอท็อป อ้างถึงเรื่องค่าแรงกำลังจะขึ้น เรื่องเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่อง “เกินจากอำนาจหน้าที่” ของนายก อบจ. และ สอบจ. แต่ผู้ช่วยหาเสียงชื่อ “ทักษิณ” ก็เมาไมค์ด้วยใจเมามัน ปราศรัยอ้างไปถึงนายกฯ แพทองธาร รัฐบาล และอื่นๆ ที่อาจทำให้ประชาชน “หลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร” ได้ บางกรณีอาจเข้าข่าย “สัญญาว่าจะให้” ด้วยซ้ำไป
6) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” เรื่อง “ทักษิณ ปราศรัย ระวังปากพาจน” ดังนี้...
นายทักษิณ ชินวัตร ได้ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงนายกอบจ.อุดรธานี หลายเวทีใช้คำพูดที่ดุเดือดรุนแรง วิญญาณเดิมของคุณทักษิณกลับคืนมา โดยไม่สนใจอะไรในสังคม มีหลายคำที่พูดเป็นคำหยาบ เหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม แต่มีตอนหนึ่งที่ผมเห็นว่า คุณทักษิณพูดแล้วสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ จากการกล่าวคำปราศรัยตอนหนึ่งว่า
“เห็นสภาพบ้านเมืองแล้วหดหู่ หากปล่อยไว้แบบนี้คนไทยจะเหมือนคนลาวถูกพัฒนาช้า พัฒนาเร็วเฉพาะส่วน คนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง ตนก็เป็นคนบ้านนอก ฉะนั้น ใจผมเป็นห่วงที่สุดคือคนรากหญ้า สิ่งที่ยากเลยคือนักการเมืองเฮงซวย หากการเมืองเฮงซวยเมื่อไหร่ นักการเมืองก็เฮงซวยตาม แต่ระหว่างที่ผมออกไปเขาก็สร้างระบบกติกาให้การเมืองมันเฮงซวยขึ้นเรื่อยๆ”
การปราศรัยของนายทักษิณช่วงสั้นๆ แต่พาดพิงในหลายส่วน เช่น
1.การกล่าวหาสภาพบ้านเมืองหดหู่ พัฒนาช้าต้องถามคุณทักษิณว่า คุณเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมือง ที่ทำให้การเมืองถอยหลังเข้าคลอง ถ้าคุณเป็นรัฐบาลที่ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และทุจริตเชิงนโยบาย ก็ไม่มีการรัฐประหารมาทำให้ประชาธิปไตยถอยเข้าคลอง
2.การกล่าวพาดพิงไปถึงคนลาวพัฒนาช้า เป็นการบูลลี่คนลาว ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน โดยมารยาทไม่ควรยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เขาได้รับความเสียหาย ควรให้เกียรติและให้ค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคนลาวหรือคนไทย
3.การพูดถึงชีวิตคนรากหญ้า ซึ่งคุณทักษิณ ได้สร้างนโยบายประชานิยม จนคนไทยเสพติดการแจกเงินแม้ว่าคุณทักษิณจะประกาศว่า รัฐบาลที่แจกเงินคือรัฐบาลปัญญาอ่อน แต่ในที่สุดรัฐบาลแพทองธาร ก็แจกเงินให้กับประชาชนคนละ 10,000 บาทมาแล้ว และบนเวทีปราศรัยคุณทักษิณยังประกาศว่า จะแจกเงินคนละ 10,000 บาทให้กับคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่ใช่กลุ่มคนเปราะบางอีกด้วย การแจกแบบนี้ต้องถามว่าเป็นรัฐบาลปัญญาอ่อนหรือไม่
4.การด่านักการเมืองเฮงซวย การเมืองเฮงซวย ต้องบอกว่าคำพูดแบบนี้ไม่ควรจะออกมาจากปากของอดีตนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณเองก็เป็นนักการเมือง ลูกสาวก็เป็นนักการเมือง คนในตระกูลเป็นนักการเมือง ถ้าจับเหมารวมว่านักการเมืองเฮงซวย ก็หมายความว่าคนในตระกูลชินวัตรเฮงซวยด้วยใช่หรือไม่
5.คูณทักษิณอ้างว่า ตอนที่ตนไม่อยู่ มีการสร้างกติกาทางการเมืองที่เฮงซวยนั่น น่าหมายถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต้องถามคุณทักษิณว่า ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ดี เป็นรัฐธรรมนูญเฮงซวย ทำไมพรรคเพื่อไทยไม่เดินหน้าเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทำไมต้องยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 อย่าทำเป็น“เกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” อะไรได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เอา อะไรเสียประโยชน์ ก็จะด่าว่ากฎหมายเฮงซวย
ผมเห็นการปราศรัยของนายทักษิณใช้ถ้อยคำที่รุนแรงหลายครั้ง แต่ผมยกมาเพียงบางส่วนบางตอน เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าจิตใต้สำนึก และนิสัยที่แท้จริงของนายทักษิณเป็นคนอย่างไร พูดจาสามหาว ใช้คำแรง คำหยาบด่ากราดโดยไม่สนใจใคร แสดงตัวตนที่แท้จริงอย่างชัดเจน ระวังปากจะพาจน เหมือนกับการพูดจนต้องคดี ม.112 อยู่ในขณะนี้
7) น่าคิดว่า ทักษิณมีปัญหาทางอารมณ์ จนอาจเข้าขั้นมีอาการที่เรียกว่า “โหยหาสวรรค์หาย” (Nostalgia) หรือไม่
คำว่า Nostalgia ถูกบัญญัติขึ้นโดยนายแพทย์ทหารชาวสวิตเซอร์แลนด์ Johannes Hofer โดยในแรกเริ่มเดิมที สภาวะนี้ถูกมองว่าเป็นอาการทางประสาท เนื่องจากอาการหวนนึกถึงอดีตนั้นในช่วงเวลานั้นมักพบในทหารซึ่งส่วนมากเป็นคนที่พลัดถิ่น (ถูกมองว่ามีอาการร่วมกันกับ Homesick) ในเวลาต่อมา Nostalgia ถูกพบในวงกว้างมากขึ้น อาจกล่าวได้ว่าพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย ทุกช่วงอายุ แม้กระทั่งเด็กอายุ 7 ขวบที่นึกถึงความทรงจำในวันที่ไปเที่ยวกับครอบครัว
8) ทักษิณแสดงอาการ Nostalgia ชัดมาก ผ่านการปราศรัยที่อุดรธานี เขาเอาแต่พล่ามพูดถึงอดีตของตัวเอง และพยายามกระตุ้นผู้ฟังให้ร่วมดื่มด่ำกับอดีตไปกับเขา เช่น ไหน ใครทันตอนผมเป็นนายกฯ บ้าง และอ้างถึงความสำเร็จในอดีต เช่น 30 บาท รักษาทุกโรค,โอท็อป, การทำสงครามกับยาเสพติด ฯลฯ ยิ่งพูดยิ่งดูภูมิใจ ดูมีความสุข จึงพูดวกพูดวนอยู่กับอดีตเหล่านั้น
9) ก็ต้องเข้าใจนะครับว่า “ทักษิณ” รู้สึก “ปลอดภัยกว่า” ที่ได้พูดถึงความสำเร็จในอดีต เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่เขาออกหน้าก็ไม่ได้ ดำรงตำแหน่งก็ไม่ได้แถมยังมีคดีคล้องคออยู่อีก 1 คดี คือ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เหตุจากการพูดที่ประเทศเกาหลี นอกจากนี้ กล่องดวงใจอย่าง “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ยังกลับเข้าประเทศไม่ได้ แม้ทักษิณจะกลับประเทศไทยได้แล้ว ทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงอภัยลดโทษให้ จากโทษจำคุก 8 ปี เหลือเพียงปีเดียวและการรับโทษปีเดียวดังกล่าวนั้น ทักษิณกลับไปต้องนอนคุกเลยสักคืนเดียว เพราะมีการอ้างอาการป่วยที่เข้าขั้นวิกฤตถึงขนาดที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รักษาไม่ได้ ต้องส่งไปยังโรงพยาบาลตำรวจ นอนรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 จนกระทั่งได้รับการพักโทษ และได้อยู่ที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า”ส่วนกล่องดวงใจอีกดวง คือ “ลูกสาว” ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ย่อยยับ ถึงความไม่มีศักยภาพ
10) นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้หลบหนีคดีตามมาตรา 112 ไปอยู่ในต่างประเทศ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า“งงที่ทักษิณออกมาฉอดๆ ก้าวไกล แซะทั้งธนาธรและพิธา นี่คืออาการของคนกลัวแพ้การเลือกตั้ง ไม่พอ นี่คือนายกตัวจริงที่ออกมาเล่นการเมือง ออกมาช่วยลูกสาวเพราะลูกสาวมีศักยภาพไม่พอ นี่คือคนที่เคยบอกว่าไม่เล่นการเมืองแล้ว อยากกลับมาเลี้ยงหลานอย่างเดียว ทั้งหมดคือความตอแหล”
11) นอกจากนี้ “ทักษิณ” ยังถูกตรวจสอบว่าป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ แม้จะพ้นโทษแล้ว แต่หาก“เวชระเบียน” ถูกนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ แล้วพบว่า เขาไม่ได้ป่วยวิกฤตตามอ้าง ตลอด 181 วันของการอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ย่อมต้องมีคนติดคุกติดตะรางแน่ๆ
12) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นักกฎหมายอดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ขอให้มนุษย์เข้าใจหมาด้วย” ความว่า
“ทักษิณกร้าว!!! ปราศรัยที่อุดร “คนอยู่ส่วนคน หมาอยู่ส่วนหมา” ทักษิณ กล่าวว่า หมามีอะไรก็เห่าหอน ผมถือว่าผมเป็นหมาก็แล้วกัน ผมยังเห่าหอนอยู่ 2 เรื่อง คือ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ และ คดี 112 หาก 2 เรื่องนี้ทักษิณไม่ผิด ผมก็จะเอาตะกร้อครอบปาก ไม่เห่าหอนอีกตลอดกาล เพราะเปรียบเหมือนผมเป็นหมาที่ไม่เข้าใจสังคมมนุษย์อีกต่อไปแล้ว”
สรุป : การปราศรัยที่อุดรธานีของทักษิณ คือช่วงเวลาของการปลอบประโลมตัวเอง ได้อยู่ท่ามกลางลิ่วล้อบริวารและกองเชียร์ ได้พูดถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ ย่อม “ใจฟู”
และลืมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยคำร้อง การตรวจสอบ และความไม่แน่นอนทางอำนาจ
อุดรธานี จึงเป็น “สวรรค์ที่หายไป” ที่ทักษิณได้เห็นมันอีกครั้ง ผ่านประชาชนที่นั่งฟังปราศรัยปรบมือไชโย เหมือนสมาชิกใน “กลุ่มบำบัด” อะไรสักอย่าง
อุดรธานี เป็น “ปัจจุบัน” ที่ทักษิณมีความสุขที่สุด แต่ไม่ได้สุขกับปัจจุบันนะครับ สุขกับการพาตัวเองและกองเชียร์ย้อนกลับไป “เสพสุข” ในอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ แต่ปัจจุบันร่อแร่ ที่อาจส่งผลให้อนาคตรุ่งริ่งก็เป็นได้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี