วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
.jpg)
.jpg)
คดีแชร์ลูกโซ่ดิไอคอน เดินไปสู่ชั้นศาล
จำเลยที่เป็นบอสดิไอคอน 16 คน ยังมีสิทธิต่อสู้ในชั้นศาลยุติธรรมต่อไป
ขณะเดียวกัน บอสคนดัง 2 คน ได้แก่ บอสแซม และบอสมิน ก็ต้องลุ้นว่าดีเอสไอจะมีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการอย่างไร?
ส่วนดีลเลอร์รายใหญ่ๆ ผู้มีส่วนร่วมกับการกระทำผิดรายอื่นๆ ก็ต้องลุ้นว่า ใครบ้างจะถูกหมายจับ หรือถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมในลอตสอง?
1. เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงสั่งฟ้อง 16 ผู้ต้องหา +1 นิติบุคคล
ด้วยข้อหาหนัก “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่), ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต”
แต่สั่งไม่ฟ้อง นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือบอสแซมผู้ต้องหาที่ 17 และ น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมินผู้ต้องหาที่ 18 ตามข้อกล่าวหา
ทั้งบอสแซมและบอสมิน ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำในเวลาต่อมา
2. น่าคิดและติดตามต่อไปว่า ทำไมอัยการคดีพิเศษจึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องบอสแซมและบอสมีน
ไม่ใช่สั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม
สวนทางกับคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอที่มีความเห็นพร้อมหลักฐานสั่งฟ้องมาก่อนหน้านี้
ถ้า DSI ไม่มีความเห็นแย้ง คดีบอส 2 คนนี้ก็จบ ยุติ เรียบร้อย ไม่ต้องไปต่อสู้ในชั้นศาลยุติธรรม
เท่ากับว่า จะรอดเพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง คดีไปไม่ถึงชั้นศาล ไม่ใช่รอดเพราะศาลพิพากษายกฟ้อง
แต่ถ้าดีเอสไอเห็นแย้ง ก็ต้องดูว่าอัยการสูงสุดจะชี้ขาดว่าอย่างไร
น่าสงสัยว่า คดีนี้ อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องดิไอคอนกรุ๊ป ในฐานะนิติบุคคล และสั่งฟ้องผู้บริหารใหญ่ บอสพอล รวมถึงบอสกัน และบอสนักขายอีกหลายราย ก็โดนสั่งฟ้องไปทั้งหมดแล้ว
นั่นหมายความว่า อัยการเห็นสอดคล้องกับดีเอสไอว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีว่าโครงข่ายดิไอคอนนั้น เป็นแชร์ลูกโซ่ ฉ้อโกงประชาชน ทำผิดกฎหมายขายตรง ฯลฯ
บทบาทของบอสมินและบอสแซม ตามที่เคยปรากฏคลิปประกาศตัวเป็นบอส มีตำแหน่ง มีรายได้ รับผลประโยชน์จากดิไอคอนกรุ๊ป มีหลักฐานไม่เพียงพอว่าร่วมกระทำผิดรู้หรือควรรู้ว่าดิไอคอนกรุ๊ปกระทำการตามที่ฟ้องและยังมีบทบาทสนับสนุน ร่วมกระทำการและรับผลประโยชน์ด้วย จริงหรือไม่?
เหตุผลแท้จริงที่ทำให้อัยการถึงสั่งไม่ฟ้องสองคนนี้ ซึ่งโด่งดัง มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาบอสผู้ต้องหาทั้งหลาย คืออะไรกันแน่ ?
ผมคิดว่า ถ้าดีเอสไอจะไม่เห็นแย้ง คงต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่า แล้วพยานหลักฐานที่ทำให้สั่งฟ้องไปตอนแรกนั้น มันหายไปไหนเสียแล้วหรือ?
ขณะนี้ ทุกคนถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ยังมีสิทธิต่อสู้คดีต่อไป
3. เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2568 ศาลอาญานัดสอบคำให้การจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อทย.14/2568
ศาลเบิกตัวจำเลยทั้ง 16 คน มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง เพื่อนำตัวมาสอบคำให้การ
จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล ยืนยันว่า จำเลยมีความจำเป็นจะต้องได้รับการประกันตัวออกมาต่อสู้คดี พร้อมนำเสนอข้อมูลหลักฐานเอกสารต่างๆ เพื่ออธิบายต่อศาล
ระบุด้วยว่า ในการพิจารณาคดีนี้ หากจำเลยได้รับการประกันตัว จะใช้เวลาในการสืบพยาน จนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ประมาณ 1 ปีเศษ
ทนายจำเลยเห็นว่า การมีคำสั่งไม่ฟ้องบอสมินและบอสแซม เป็นเรื่องดี เพราะบริษัทก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้ขายสินค้าที่ผิดกฎหมาย
4. มุ่งเน้นให้สมาชิกรายเก่าหาสมาชิกรายใหม่ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทน รายได้หลักเกิดจากการที่มีผู้สมัครรายใหม่ในตำแหน่งดีลเลอร์ต่อๆ กันไป
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้เพิกถอนทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงของ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด
ระบุว่า “..ปรากฏหลักฐานต่อนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 ว่า เว็บไซต์ www.theicongroup.co.th เมื่อผู้บริโภคเข้าไปดูสินค้าแล้วเลือกรายการสินค้าลงตะกร้าและทำการชำระเงินตามขั้นตอน ปรากฏว่า ไม่สามารถชำระเงิน เพื่อซื้อสินค้าได้โดยเว็บไซต์ดังกล่าวขึ้นข้อความว่า “Something is not right! กรุณาเข้าเว็บไซต์ของตัวแทนเพื่อทำการสั่งซื้อสินค้า”
อีกทั้ง ยังมีข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวนผู้เสียหายให้ถ้อยคำว่า “ผู้บริโภคไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทฯ ได้โดยตรง จะสั่งซื้อสินค้าได้ต่อเมื่อสั่งซื้อสินค้าผ่านลิงก์ของตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น”
ประกอบกับมีผู้เสียหายให้การว่า หากสามารถชักชวนให้ร่วมลงทุนเป็นตัวแทนจำหน่ายในตำแหน่งดีลเลอร์เป็นเงินลงทุน 250,000 บาท ผู้ชักชวนจะได้รับค่าตอบแทน จากผู้สมัครรายใหม่เป็นเงิน 10,000 – 15,000 บาท ต่อ 1ดีลเลอร์ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของบริษัทฯ รวมทั้งวิธีการในการดำเนินธุรกิจมีลักษณะที่ไม่ได้มุ่งเน้นในการขายสินค้าให้กับผู้บริโภค แต่กลับมุ่งเน้นให้สมาชิกรายเก่าหาสมาชิกรายใหม่เพื่อให้ได้รับผลตอบแทน ซึ่งรายได้หลักเกิดจากการที่มีผู้สมัครรายใหม่ในตำแหน่งดีลเลอร์ต่อๆ กันไป
รูปแบบการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ มีลักษณะเป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในธุรกิจตลาดแบบตรงโดยตกลงว่า จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545
เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะนายทะเบียน ตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 อาศัยอำนาจตามมาตรา 3 มาตรา 5 มาตรา 44 และมาตรา 53 วรรคสอง (3) (5) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 จึงมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2568”
อย่างไรก็ตาม The iCon Group ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า จะยื่นอุทธรณ์คำสั่ง สคบ.ต่อไป และคำสั่งเพิกถอนมีผลเฉพาะกับที่ขายผ่านเว็บไซต์เท่านั้น ส่วนตัวแทนยังจำหน่ายได้ตามปกติ
5. ในทางพฤติกรรมจริง เครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ปเน้นขายสินค้าให้ผู้บริโภคทั่วไป หรือเน้นหาสมาชิกมาสมัครเป็นดีลเลอร์หารายได้จากการเปิดบิลของสมาชิก?
ตรงนี้ ถือเป็นพฤติกรรมสำคัญในทางคดีอย่างหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ ผู้ต้องหา และสมาชิกเครือข่ายดิไอคอนที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีอีกจำนวนหนึ่ง ได้แสดงพฤติการณ์ อวดสถานะร่ำรวย อวดชีวิตหรูหรา ฟู่ฟ่า ดึงดูดความสนใจของสังคมต่อเนื่อง
ปรากฏผ่านสื่อทั้งออนไลน์ ออนไซต์ ต่อเนื่องมาหลายปี
มีการอวดยอดขายหลายพันล้านบาท โอ้อวดความสำเร็จของดีลเลอร์ เพื่อดึงดูดให้คนเข้าเป็นสมาชิกจำนวนหลายแสนคน
มีการจัดส่งสินค้าสอดคล้องกับยอดขายหรือไม่?
มีการขายสินค้าให้ผู้บริโภคจริงๆ สอดคล้องกับยอดรายได้ของบริษัทแค่ไหน? ฯลฯ
ประเด็นเหล่านี้ ไม่เกี่ยวกับสินค้ามี อย.หรือไม่มี
คุณทองธาร เหลืองเรืองรอง พ.อาวุโสศาลอุทธรณ์ เขียนบทความว่าด้วยเรื่อง “มองคดี‘ดิไอคอนกรุ๊ป” ผ่านคำพิพากษาศาลฎีกา” (เผยแพร่ในเว็บสำนักข่าวอิศรา)
เนื้อหาบางส่วนบางตอน มีใจความน่าสนใจ อาทิ
“...ธุรกิจขายสินค้าโดยวิธีการสมัครสมาชิกและให้สมาชิกซื้อสินค้านั้น จะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ จะดูจาก“รายได้” ว่า รายได้ที่แท้จริงนั้นมาจากอะไร
รายได้มาจากการสมัครสมาชิกและการบังคับซื้อสินค้า วิธีการนี้ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นการตั้งใจประกอบธุรกิจ แต่ถ้าดูให้ละเอียดจะพบว่า ไม่ได้มีเจตนาประกอบธุรกิจจริงๆ แต่เป็นการหลอกให้ซื้อสินค้าไปเยอะๆแต่ไม่สามารถขายสินค้าได้ ฉะนั้น รายได้จริงๆของเจ้าของธุรกิจ จึงไม่ใช่ผลกำไรจากการขายสินค้าทั่วไป แต่เป็นรายได้ที่ได้จากการให้สมาชิกต้องซื้อสินค้าจำนวนหนึ่ง รายได้ของธุรกิจจะต้องได้จากการขายสินค้าให้คนทั่วไป ไม่ใช่รายได้จากการบังคับให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ เรียกว่า รายได้หรือกำไรเทียม วิธีการแบบนี้เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่เช่นกัน เพราะรายได้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าทั่วไป แต่เกิดจากการหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมากๆ
คุณทองธาร เหลืองเรืองรอง พ.อาวุโสศาลอุทธรณ์ สรุปว่า ...เส้นแบ่งว่าจะเป็นฉ้อโกงหรือไม่ ให้ดูจากรายได้ของบริษัทว่า รายได้หรือกำไรมาจากการที่สมาชิกขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ หรือเป็นรายได้หรือกำไรที่ได้มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิกเอง ถ้ารายได้ของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วๆไป แต่เกิดจากการบังคับหรือหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ แบบนี้ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกง
โดยศาลจะถือว่า “รู้อยู่แล้วว่าสินค้าไม่สามารถขายได้” และการใช้ดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์มาโฆษณานั้น ก็ด้วยวัตถุประสงค์ให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมการขายหรือช่วยให้สมาชิกขายสินค้าได้แต่อย่างใด”
ส่วนคดีดิไอคอน กรุ๊ป จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นกับพยานหลักฐาน และการต่อสู้คดีในชั้นศาลยุติธรรมต่อไป
6. จะต้องติดตามต่อไปว่า นอกจากผู้ต้องหา 18 คนแรกแล้ว ใครที่เกี่ยวข้องกับโครงข่ายธุรกิจดิไอคอน กรุ๊ปข้างต้น จะถูกดีเอสไอแจ้งข้อหาดำเนินคดีอีกบ้าง?
ในเมื่ออัยการและดีเอสไอ เห็นพ้องกันว่า มีหลักฐานเพียงพอฟ้องคดีว่ามีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ ฉ้อโกงประชาชน พ.ร.บ.คอมพ์ พ.ร.บ.ขายตรงฯ แล้ว
บุคคลที่มีพฤติการณ์ร่วมกระทำ โดยรู้หรือควรรู้ ร่วมรับผลประโยชน์ด้วย ฯลฯ โดยเฉพาะรายที่มีผลประโยชน์การเปิดบิลมีสมาชิกลูกทีมนับร้อยนับพันนับหมื่นคน เคยอวดว่ามีรายได้ร้อยล้านพันล้านบาทนั้น หากไม่ได้ให้การเป็นประโยชน์ กันเป็นพยาน ก็ควรจะถูกดำเนินคดีด้วยหรือไม่ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สังคมต่อไป
....จบ....
สันติสุข มะโรงศรี

‘อบต.เหล่าหมี มุกดาหาร’จัดงานลอยกระทง งดพลุ แสง สี เสียง
‘นายกฯอนุทิน’ตอบเอง หลังชาวเน็ตโฟกัส‘ซิป’ งานนี้ฮาไม่เบา
วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี แปลอักษรถวายความอาลัย'สมเด็จพระพันปีหลวง'
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก‘อบต.นาฝาย ชัยภูมิ’นำเด็กฝึกทำกระทงใบตอง ลดค่าใช้จ่ายวันลอยกระทง
ส่งผ่าพิสูจน์! 'โลมาลายแถบ'เกยตื้นตาย'ชายหาดบาสัก' พบมีบาดแผลถลอก

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี