การดำเนินการเพื่อให้ที่ดินอัลไพน์กลับไปเป็นธรณีสงฆ์ เป็นมหากาพย์ที่ยืดเยื้อยาวนาน
ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่จะต้องดำเนินการ ตามแนวทางคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมใหญ่) ตามคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ และคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองก็เคยตอบข้อหารือไว้ชัดเจนแล้วว่า ที่ดินดังกล่าวตกเป็นธรณีสงฆ์ตั้งแต่คุณยายเนื่อมเสียชีวิต การจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้เอกชนและรายการจดทะเบียนที่สืบต่อกันมาจึงเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น รวมตลอดถึงการดำเนินการที่ได้กระทำต่อมาภายหลังการโอนที่ดินที่เป็นโมฆะ จึงตกเป็นอันเสียเปล่าทั้งหมดตามไปด้วย
ส่วนประชาชนผู้สุจริตที่ได้รับผลกระทบ รัฐก็ควรหาแนวทางช่วยเหลือต่อไป
1.ที่ดินธรณีสงฆ์อัลไพน์ ปัจจุบัน แยกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก หมู่บ้านจัดสรร หมู่บ้านราชธานี ปรากฏว่า ประชาชนผู้ถือครองโฉนดต่างได้รับความเดือดร้อน มีตัวแทนไปยื่นหนังสือต่อกระทรวงมหาดไทย ขอให้ช่วยเพิกถอนโฉนดกลับไปเป็นธรณีสงฆ์ พร้อมดำเนินการช่วยเหลือเยียวยา เพราะปัจจุบัน แม้ยังเป็นโฉนด แต่ไม่สามารถนำไปทำธุรกรรมอันใดกับสถาบันการเงินได้ เนื่องจากศาลพิพากษาชี้ขาดไปแล้วว่าเป็นธรณีสงฆ์
ส่วนที่สอง สนามกอล์ฟอัลไพน์ ปัจจุบัน มีผู้ถือหุ้น 3 คน ได้แก่ คุณหญิงพจมาน 29.8 ล้านหุ้น นายทองแท้ 22.4 ล้านหุ้น และนางสาวพินทองทา 22.4 ล้านหุ้น
ก่อนหน้านี้ เคยมีชื่อนางสาวแพทองธาร ถือหุ้น 22.4 ล้านหุ้นแต่หลังเป็นนายกฯ ปรากฏว่า ได้โอนหุ้นไปให้คุณหญิงพจมานเสียแล้ว
มีข้อสังสัยว่า โอนให้ หรือขายให้ ด้วยวิธีการอย่างไร หรือใครเป็นเจ้าของตัวจริง เพราะหากนายกฯ แพทองธารยังเป็นเจ้าของตัวจริงอยู่ ก็อาจเข้าข่ายซุกหุ้น (เช่นเดียวกับปมหนี้ 4 พันกว่าล้านบาท) และการครอบครองธรณีสงฆ์ อาจฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงด้วย
2.เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า
“..กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ว่าไป สมมุติว่ามีการสั่งให้เพิกถอน ก็เพิกถอน แล้วไงต่อ ก็ต้องว่าตามกฎหมายอีก เพิกถอนแล้วใครจะเป็นเจ้าของที่ จะเป็นวัดไหม แล้ววัดจะเอาอย่างไร จะชดเชยความเสียหายผู้ซื้อโดยบริสุทธิ์อย่างไร... จริงๆแล้ว ในฐานะเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟอัลไพน์ ผมว่าจะได้จบๆเสียที เอาไงก็เอา คาราคาซังน่ารำคาญ” – นายทักษิณกล่าว
น่าสนใจว่า ในการดำเนินการเรื่องนี้ นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ อาจเข้าข่ายมีผลประโยชน์ทับซ้อน สวมหมวกสองใบ
นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ มีหน้าที่ต้องกำกับดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย ต้องให้กลับคืนไปเป็นธรณีสงฆ์ ขณะเดียวกันตัวนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ ก็มีครอบครัว เครือญาติใกล้ชิด เป็นเจ้าของสนามกอล์ฟธรณีสงฆ์อัลไพน์
ที่มาของที่ดินอัลไพน์ ก่อนจะมาถึงมือครอบครัวชินวัตร
เดิม นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ทำพินัยกรรมยกที่ดินย่านปทุมธานี เนื้อที่เกือบพันไร่ ให้กับวัดธรรมิการามวรวิหาร เมื่อนางเนื่อมเสียชีวิตลง 22 พฤษภาคม 2514 ที่ดินต้องเป็นธรณีสงฆ์ทันทีตามกฎหมาย
แต่ถูกนักการเมืองและพวกร่วมกันเล่นแร่แปรธาตุ อาศัยอำนาจรัฐเปลี่ยนแปลงโอนให้มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ก่อนถูกขายต่อให้บริษัทอัลไพน์ฯ และภายหลังตกไปอยู่ในมือของคนในครอบครัวอดีตนายกฯ ทักษิณ
นายเสนาะ เทียนทอง เป็นรมช.มหาดไทย สั่งการเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533 ไม่อนุญาตให้วัดฯ ได้มาซึ่งที่ดินมรดก เปิดทางให้มูลนิธิฯเข้ามาจัดการทรัพย์สิน ก่อนที่จะมีการขายต่อไปให้บริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งมีคนตระกูลเทียนทองถือหุ้น
บริษัทอัลไพน์ฯ ซื้อมาในราคา 142 ล้านบาท แต่เอาไปจำนองได้ถึง 220 ล้านบาท ภายในวันเดียวกัน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2533 จากนั้น ก็เอาไปพัฒนา ทำบ้านจัดสรร สนามกอล์ฟหรู
หลังจากนั้น มีการขายหุ้นบริษัทที่ครอบครองที่ดินสนามกอล์ฟต่อไปให้คนตระกูลชินวัตร ถูกวิจารณ์ในขณะนั้นว่าเป็นดีลการเมืองด้วยในตัว (เสนาะ-ทักษิณ)
พอมาถึงยุครัฐบาลทักษิณนายยงยุทธ เป็นรองปลัดมหาดไทย จึงได้ออกคำสั่งวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 เอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอกชน
3.นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.จังหวัดอุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัยรัฐบาลเศรษฐา ลงนามในหนังสือบันทึกที่ มท 0100.3/324 ลงวันที่ 3 ก.ย. 2567
ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เดิมของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดธรรมิการามวรวิหาร (ที่ดินอัลไพน์)
พร้อมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยอุทธรณ์ใหม่ เพื่อให้คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ที่ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนที่ดิน 2 แปลง (ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 20 ต.คลองซอยที่ 5 ฝั่งตะวันออก (บึงตะเคียน) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 730-1- 51 ไร่ และที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1446 ต.บึงอ้ายเสียบ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 194-1-24 ไร่) ตลอดจนรายการจดทะเบียนลำดับต่อๆ มาจากรายการข้างต้น กลับมามีผล
เนื่องจากที่ดินตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ตั้งแต่วันที่ยายเนื่อมเสียชีวิตแล้ว
พูดง่ายๆ ว่า คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2544 นั้น ถูกต้องแล้วที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดิน ตลอดจนรายการจดทะเบียนลำดับต่อๆ มา
ส่วนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เดิมของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐที่ไปเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 นั้นมิชอบ จึงต้องให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เดิมของนายยงยุทธ
เพื่อให้คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 กลับมามีผลถูกต้องนั่นเอง
4.กรณีการดำเนินการของกรมที่ดิน เมื่อรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เพิกถอนคำสั่งของปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ)
กรมที่ดินได้จัดทำเอกสารสรุปขั้นตอนการดำเนินการ เตรียมการไว้แล้ว ระบุว่า
เมื่อรองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์) เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เดิม และวินิจฉัยอุทธรณ์ใหม่ โดยให้คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ลงวันที่ 20 ธ.ค. 2544 กลับมามีผล
ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 20 และ 1446 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี กลับเป็นทรัพย์มรดกของนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ทางผู้จัดการมรดกต้องโอนมรดกตามพินัยกรรมของนางเนื่อมฯ ให้วัดธรรมิการามวรวิหาร
วัดฯจะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดิน โดยการจดทะเบียนโอนมรดก ส่วนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้น จะไม่ตกเป็นของวัดฯ
เมื่อวัดฯ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน การดำเนินการมี 3 แนวทาง คือ 1.วัดฯ ให้ผู้ที่อยู่บนที่ดินปัจจุบันเช่า 2.วัดฯ ขอออกหนังสือรับรอง ทรัพย์อิงสิทธิ ไม่เกิน 30 ปี (มาตรา 4พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ.2562) และ 3.วัดฯ โอนที่ดิน โดยตราเป็น พ.ร.บ. โดยให้เฉพาะบุคคลซึ่งได้สิทธิในที่ดินมาโดยสุจริต
ส่วนการดำเนินการกับสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ซึ่งไม่ตกเป็นของวัดนั้น มี 2 แนวทาง คือ 1.วัดฯต้องชดใช้ราคา ให้กับเจ้าของปัจจุบัน และ 2.เจ้าของขอรื้อถอนออกไป โดยเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการ
5.กรมที่ดิน ได้ประเมินมูลค่าความเสียหาย ที่กรมที่ดิน,มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ, บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของครอบครัวชินวัตร และบริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด (ปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ราชธานี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด) อาจจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายในคดีแพ่ง
คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 7,700 ล้านบาท
แบ่งเป็น ทรัพย์ตามมูลค่าตลาดประมาณ 7,228 ล้านบาท และทุนทรัพย์จำนอง 439.05 ล้านบาท
ปัจจุบัน เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินอัลไพน์ มีจำนวน533 ราย และผู้รับจำนองอีก 30 ราย
โดยปกติ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนรายการจดทะเบียนที่ดินและโฉนดที่ดิน ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2544 สามารถใช้สิทธิยื่นคำฟ้องพร้อมขอทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองต่อศาล หรือยื่นคำขอให้กระทรวงมหาดไทย/กรมที่ดิน ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ได้
6.กรณีศึกษา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ในพื้นที่ป่าราชบุรี ปรากฏว่า นายธนาธรไปฟ้องศาลปกครองกลาง
จากนั้น ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 2218/2565 คดีหมายเลขแดงที่1839/2566
ศาลชี้ว่า ที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 158 และเลขที่ 159 เนื้อที่ 81 ไร่เศษ ของนายธนาธร อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” ซึ่งต้องห้ามมิให้ออก น.ส. 3. ก.ดังนั้น คำสั่งอธิบดีกรมที่ดินให้เพิกถอน น.ส. 3.ก.นั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
แต่ศาลปกครองกลาง เห็นว่า นายธนาธรได้ซื้อที่ดินโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้รับความเสียหาย จึงให้กรมที่ดินชดใช้ค่าเสียหายแก่นายธนาธร 4.9 ล้านบาท (ขณะนี้ ยังไม่ทราบว่าผลการอุทธรณ์ต่อสู้ในชั้นศาลปกครองสูงสุดเป็นอย่างไร)
อย่างไรก็ตาม นายธนาธรยังถูกดำเนินคดีอาญาฐานรุกป่าอยู่ด้วย ขณะนี้คดียังอยู่ในชั้นอัยการ ยังไม่ปรากฏความคืบหน้าชัดเจน
7. รัฐควรคุ้มครองดูแลช่วยเหลือประชาชนที่สุจริต และติดตามเรียกค่าเสียหายคืนจากผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำโดยมิชอบ เล่นแร่แปรธาตุธรณีสงฆ์จนเกิดความเสียหายร้ายแรง ให้ถึงที่สุด
ทำอย่างไร รัฐจะแยกแยะว่าใครสุจริต หรือไม่สุจริต?
ชาวบ้านที่ไปซื้อที่ดินบ้านจัดสรรมา น่าจะเข้าข่ายสุจริต เพราะจ่ายเงินอย่างถูกกฎหมาย ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้อำนาจรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในกรณีธรณีสงฆ์อัลไพน์
หากพิจารณาสาระสำคัญในคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ คดีธรณีสงฆ์อัลไพน์
คดีหมายเลขดำที่ อท.38/2559 ที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ผิดมาตรา 157 พิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ต่อมา ศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษายืน
สุดท้าย ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาคดีถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ชี้ไปในทางเดียวกันว่า นายยงยุทธ ขณะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาอุทธรณ์และมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2544 นั้น มีเจตนาช่วยเหลือบริษัทอัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด, บริษัท กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับจำกัด และผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในเวลาต่อมาให้ได้รับประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชี้ว่า จำเลยจงใจละเลยข้อเท็จจริงต่างๆ และยังจงใจตีความกฎหมายให้ผิดเพี้ยนไปจากความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2482 ที่ระบุให้กระทรวงถือปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ขณะที่ในช่วงปี 2545 ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังนายทักษิณ ชินวัตร ได้ซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์ต่อจากนายเสนาะ เทียนทอง ซึ่งหลังจากนั้นก็พบว่าจำเลยได้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยจนเกษียณราชการ และยังได้รับตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ ในยุครัฐบาลนายทักษิณ
คำสั่งของนายยงยุทธ จำเลย จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้อื่น และก่อให้เกิดความเสียหายแก่วัดธรรมิการามวรวิหาร ทั้งยังทำลายศรัทธาของผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
น่าคิดว่า ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงจากการทุจริตประพฤติมิชอบของนายยงยุทธ (อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย) ?
ใครซื้อที่ดินมาโดยสุจริตหรือไม่? ครอบครองโดยสุจริตหรือใม่? สมควรได้รับการเยียวยาหรือไม่?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี