พ่อค้า นักวิชาการ นักการเมืองทั่วโลกวิตกกังวลต่อการกลับเข้าทำเนียบสมัยที่สองของทรัมป์ เนื่องจากว่าคนกลุ่มต่างๆ ที่กล่าวถึงนั้น มีความรู้มาก คิดมากเกินไปเลยมองข้ามความคิดง่ายๆ สไตล์ทรัมป์
ส่วนชาวบ้านธรรมดาไม่ประสีประสา เศรษฐศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ และหลักวิชาการด้านความมั่นคง เข้าใจง่ายๆ ว่า ทรัมป์ตรงไปตรงมา เข้าใจได้ไม่ต้องใช้วิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับประเทศไทยในยุค ทรัมป์
ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งฝ่ายบริหารตัดเงิน NGO 90 วันตัดงบประมาณทั้งหมดของ DEI หรือ “หลากหลาย เท่าเทียมและครอบคลุม” ซึ่งเป็นผลพวงของคำสั่งผู้บริหารที่ว่า “นโยบายเป็นทางการของสหรัฐอเมริกาคือ รับรองเฉพาะสองเพศ คือ เพศชายกับเพศหญิง และล่าสุดกำลังพิจารณาว่า จะเปลี่ยนเดือนภาคภูมิของ DEI เป็น เดือนภาคภูมิใจทหารผ่านศึก ทั้งหมดที่กล่าวมา ล้วนส่งผลดีต่อประเทศไทย
ดังที่รู้กันทั่วไป เอ็นจีโอ ไม่ว่าจะเป็น แอมเนสตี้ฯ ฮิวแมนไรท์วอทช์ และไอลอว์ ตลอดถึงพรรคการเมืองที่เคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนประเทศไทยในข้ออ้างประชาธิปไตย ที่ลามปามคุกคามสถาบันสูงสุดของชาติโดยพยายาม ยกเลิก ล้มล้างมาตรา 112 ซึ่งเป็น ก.ม.ปกป้องสถาบัน เอ็นจีโอเหล่านี้ล้วนรับเงิน รับงาน จากอเมริกา และประเทศตะวันตก ไม่องค์กรใดก็องค์กรหนึ่ง ของรัฐบาลวอชิงตัน ในสมัยประธานาธิบดีโอบามา และประธานาธิบดีโจ ไบเดน เอ็นจีโอ พวกนี้อยู่ดีกินดีมีรายได้ จึงเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวายให้คุ้มกับที่อเมริกันจ่าย
วันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่ง เขาได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารตัดเงินงบประมาณใช้กับ DEI และ NGO ลงเกือบหมด เมื่อ NGO ไม่มีเงิน หรือเงินไหลเข้าน้อยลง ความเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กับ DEI ก็ไม่หวือหวาฮือฮาเหมือนที่แล้วมา สถานทูตสหรัฐในประเทศไทยก็ใช้งบประมาณในการจัดส่งนักโทษละเมิดมาตรา 112 ที่หนีคุกจากเมืองไทยไปชุบเลี้ยงในอเมริกาน้อยลง
ทรัมป์ ไม่บ้าคัมภีร์เสรีประชาธิปไตย เหมือนสมัยโจ ไบเดน และโอบาม่า จึงเชื่อแบบชาวบ้านว่าจากนี้ไป ขบวนการดัดจริตหงุดหงิดขบวนเสด็จ แต่ไปร่วมกรี๊ดกร๊าดกับขบวนพาเหรด DEI ปิดถนนนานหลายชั่วโมง จะหมดไปหรือไม่ก็ลดน้อยลง
คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ เกี่ยวกับผู้อพยพเขาส่งทหาร 1,500 นายไปชายแดนเม็กซิโกผลักดัน จัดการส่งผู้อพยพกลับบ้าน คำสั่งนั้นดูเหมือนว่าเป็นเรื่องห่างไกล แต่ก็มีผลดีกับประเทศไทย เนื่องจากว่าคำสั่งนั้นครอบคลุมถึงชาวพม่าประมาณ 12,000 คนที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ เตรียมส่งไปอเมริกา และประเทศที่สาม พม่าใฝ่ฝันไปตั้งรกรากใหม่ในอเมริกา เป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า และเมื่อไปอเมริกาไม่ได้ อาจต้องซมซานกลับบ้านหรือไม่ก็ช่วยงานพรรคส้มไปพลางๆ
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือผลดีที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ส่วนที่ทรัมป์สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย จนนักวิชาการด้านความมั่นคง นักเศรษฐศาสตร์ เครียดจนเยี่ยวเหลืองก็มีมากมาย แต่มันเป็นเรื่องไกลตัวชาวบ้าน เช่น ทรัมป์เปิดเผยการสอบสวน และรายงาน คดีสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่รัฐบาลปิดบังมากว่าหกสิบปีผู้ที่ได้ดูคลิปวีดีโอและอ่านรายงานแล้วเสียวถึงกระดูกสันหลัง เพราะเชื่อว่า การเผยแพร่เรื่องนี้รังแต่จะสร้างความแตกแยก และเสี่ยงต่อความมั่นคงภายในอย่างที่จินตนาการไม่ถึง เพราะเป็นรายงานที่ทรัมป์สำทับว่า JFK ต้องตายเพราะแฉคอร์รัปชั่นกลุ่ม Elite ในสหรัฐ
สี่สิบกว่าปีก่อน ผู้เขียนเคยแปลหนังสือเรื่อง Shibumi เขียนโดย Travanian เนื้อหาในหนังสือพูดถึงองค์กรลับที่กำกับควบคุมซีไอเอ หนังสือเน้นเดินเรื่องไปที่ ซีไอเอ ปฏิบัติการเพื่อสร้างสถานการณ์ ให้สังคมเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม ในบางส่วนของรายงานลอบสังหาร JFK บังเอิญไปคล้ายกับซีไอเอปฏิบัติการในหนังสือ จึงพูดได้ว่า ทรัมป์ทำเรื่องใหญ่แต่ไม่เกี่ยวกับคนไทยไม่ต้องคิดมากมาย
คำสั่งที่ให้สหรัฐถอนตัวจากการเป็นสมาชิก WHO ทรัมป์ให้เหตุผลง่ายๆ ว่าอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุน WHO มากกว่าใคร แต่ WHO เข้าข้างจีนในเรื่องโควิดระบาดครั้งใหญ่ ประเด็นนี้ก็มีผลกระทบประเทศไทยน้อย เพราะสาธารณสุขของไทยได้มาตรฐานสูงในลำดับต้นของโลกอยู่แล้ว และดีกว่าในอเมริกาด้วยซ้ำ
ส่วนที่ทรัมป์ ประกาศตอนหาเสียงว่า จะทำสงครามการค้ามุ่งเป้าไปที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก โดยทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนมากกว่าใครในอัตรา 60% ขึ้นไป แต่พอเป็นรัฐบาลเขากล่าวว่า “รัฐบาลจะขึ้นภาษีนำเข้าต่อเม็กซิโกและแคนาดา 25% เพราะว่าประเทศเหล่านั้นอนุญาตให้คนจำนวนมากเข้ามาในประเทศ แคนาดาเป็นตัวการร้าย คนจำนวนมากเข้ามาในสหรัฐ และ เฟนทานิล (ยาระงับความปวดรุนแรง) ก็เข้ามา”
ส่วนประเทศจีนขึ้นภาษีเพียง 10% โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่า สี จิ้นผิง “เหมือนเพื่อนของผม” และไม่อยากใช้ภาษีศุลกากรกับเพื่อน แม้ย้ำว่าสหรัฐมีอิทธิพลเหนือจีน และเชื่อว่าจีนก็กลัวภาษีของทรัมป์เช่นกัน
ส่วน จีนก็แสนดี ซินหัวสื่อทางการของจีนรายงาน วันที่ 24 มกราคม ว่า “ประเทศจีนมีความยินดีที่ได้เห็นทุกภาคส่วนแสดงบทบาทสร้างสรรค์ในการลดความขัดแย้ง ในสถานการณ์สงคราม และการเมืองในวิกฤตยูเครน” เหมา หนิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าว เป็นการตอบสนองข้อเรียกร้องของทรัมป์ที่ว่า“หวังว่า จีนจะช่วยยุติความขัดแย้งในยูเครน”
“จีนเชื่อตลอดมาว่า การเจรจาและผ่อนปรนเป็นหนทางเดียวที่หาข้อยุติในวิกฤตยูเครนได้” เธอกล่าว และเสริมว่า “จีนส่งเสริมการเจรจาเพื่อสันติภาพอย่างต่อเนื่อง และมีปฏิสัมพันธ์กับทุกฝ่ายตลอดเวลา”
จะเห็นได้ว่า การทูตของจีนหลักแหลม ประเด็นวิกฤตยูเครนโดยไม่เอ่ยถึงปูติน ทั้งๆ ที่มีรายงานว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน เรื่องสันติภาพยูเครนนานหนึ่งชั่วโมงสามสิบห้านาที สองยักษ์ใหญ่เอเชียคงได้ขอสรุปเป็นเนื้อเป็นหนัง และส่งสารผ่านไปวอชิงตัน ทรัมป์ถึงได้พูดว่า “#สี จิ้นผิง เหมือนเพื่อนของผม” และไม่อยากใช้ภาษีศุลกากรกับเพื่อน”
ทรัมป์ หลุดวลี “สี จิ้นผิง เหมือนเพื่อนของผม” ออกมาแสดงว่า เขาประเภทปากกล้าขาสั่น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า ปราศจากการช่วยเหลือของจีนที่เป็นหุ้นส่วนรอบด้านกับรัสเซีย เขาไม่มีวันยุติสงครามในยูเครนได้ และยิ่งปล่อยให้สงครามยืดเยื้อไปนานเท่าไหร่สหรัฐยิ่งเรือหายมากเท่านั้น
มองแบบชาวบ้านจึงพบว่า ทรัมป์ลดลงความอหังการเปลี่ยนท่าทีในทางที่ดีกับจีนมากขึ้น เช่น กรณีเกาหลีเหนือทรัมป์ตระหนักดีว่าจีนกับรัสเซียเป็นผู้อุปถัมภ์สำคัญของเปียงยาง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะ ติดต่อ คิม จอง อึล ไหม? คำตอบคือ “เขาคิดถึงผม yeah I like him” จากท่าทีของทรัมป์ต่อจีน และเกาหลีเหนือ จึงอยากสะกิดว่า
จะเครียดให้เยี่ยวเหลืองไปทำไม เพราะถึงอย่างไร ทรัมป์ขึ้นภาษีกับประเทศที่ได้ดุลการค้าอเมริกา ในเมื่อประเทศไทยอยู่อันดับ 10 ของชาติที่ได้ดุลการค้าอเมริกา จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขึ้นอยู่ว่าพ่อค้าไทยจะปรับตัวอย่างไรผ่อนหนักให้เป็นเบาเหมือนที่จีนทำได้
เพื่อลดทอนความเดือดเนื้อร้อนใจ อยากให้คนไทยมองในมุมดี ที่ได้ในยุคทรัมป์เช่น นอกจากลดความร้อนแรงของ NGO และคนรุ่นใหม่มีจุดมุ่งหมายทำลายสถาบันลงได้แล้ว ในยุคทรัมป์ช่วยทำให้ส้มเน่าลดความก้าวร้าวต่อรัฐบาลทหารพม่าลงไป เนื่องจากทรัมป์ตระหนักว่ารัสเซียกับจีน อุ้มชูรัฐบาลทหารพม่า อเมริกาอุ้มชูฝ่ายต่อต้านอย่างไรก็สู้ไม่ได้ ขืนสนับสนุนฝ่ายต่อต้านมิน อ่อง หล่าย ต่อไป อาจส่งผลกระทบถึงแผนสันติภาพยูเครนที่ต้องพึ่งจมูกจีนหายใจ จึงทำนายว่า ตั้งแต่นี้ไปฝ่ายต่อต้านทหารพม่า มุ่งหน้ามาประเทศไทยต้องลดน้อยถอยลง เนื่องจากฝ่ายต่อต้านที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปอเมริกาไม่สามารถทำได้แล้ว เท่าที่สัมผัสเมียนมารุ่นใหม่ที่เข้ามาประเทศไทย พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีคนช่วยเหลือให้ไปอเมริกา และประเทศที่สาม
เท่าที่สังเกต ก็เห็นมีแต่พรรคส้ม ที่กระตือรือร้นกดดันให้รัฐบาลไทยรับพม่ารุ่นใหม่ในสถานะผู้อพยพ สส.พรรคส้มไม่เคยรู้ว่าประเทศไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยผู้อพยพ ดังนั้นพม่าที่อยู่ในค่าย ประเทศไทยถือว่า อยู่ในฐานะพักพิงชั่วคราวประเทศไทยไม่มีค่ายผู้อพยพ
อย่างไรก็ตาม พรรคส้มมีความสัมพันธ์กับหน่วยงานบรรเทาต่างชาติ โดยมีอเมริกันเป็นตัวเชื่อม พวกเขาจึงประสานงานกับ ยูเอ็นเอชซีอาร์ ออกหนังสือรับรองเมียนมารุ่นใหม่ ให้อยู่ในสถานะคุ้มครองของยูเอ็นเอชซีอาร์ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าถึงได้ซ่าคับเมืองไทย
คิดแบบชาวบ้านเชื่อว่าในยุคทรัมป์ พรรคส้ม ที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าจะลดท่าทีลง ที่น่าเป็นห่วงคือนายกรัฐมนตรีหญิงของไทย ที่ตัดชุดประหลาดไว้ใส่ในขบวนพาเหรด DEI จะทำอย่างไรเมื่อทรัมป์เปลี่ยนเดือนภาคภูมิ DEI ไปเป็นเดือนแห่งความภูมิใจในทหารผ่านศึก
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี