ถึงแม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะต้องต่อสู้กับกองทัพหงสาวดีที่มีกำลังพลมากกว่า ๔ แสนนาย และที่สำคัญกว่านั้นก็คือผู้นำทัพคือพระมหากษัตริย์ที่ได้ชื่อว่า ผู้ชนะสิบทิศหรือพระเจ้าบุเรงนอง พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรหงสาวดีก็ตาม แต่กรุงศรีอยุธยาภายใต้การนำทัพของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ และสมเด็จพระมหินทราธิราช ก็สามารถต้านทานกองทัพหงสาวดีอยู่ได้นานถึง ๘ เดือนก่อนที่จะเสียอิสรภาพ
ในปีพ.ศ ๒๑๐๖ ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิครองราชย์ พระองค์ได้สมญานามว่าพระเจ้าช้างเผือกเนื่องจากในช่วงเวลานั้นพระองค์ได้ครอบครองช้างเผือกถึง ๗ เชือก มากกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใด เป็นเครื่องแสดงถึงบุญญาบารมีของพระองค์
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พระเจ้าบุเรงนอง มีความปรารถนาที่จะได้ช้างเผือกบางส่วนมาครอบครองเพื่อเสริมพระบารมีบ้าง จึงได้ส่งราชทูตมาขอช้างเผือกจำนวน ๒ เชือกจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แต่เมื่อได้รับการปฏิเสธจึงต้องยกทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยา
สงครามที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นจึงได้ชื่อว่าสงครามช้างเผือก โดยพระเจ้าบุเรงนอง ได้ยกทัพมีกำลังพล ๖๐,๐๐๐ คนเข้าบุกกรุงศรีอยุธยา ใช้ปืนใหญ่ระดมยิงเข้าไปในพระนคร จนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเห็นว่าอาจจะต้านทานทัพหงสาวดีไม่ได้ จึงเจรจาขอสงบศึก
พระเจ้าบุเรงนองทรงยินยอมโดยมีข้อแม้ว่าขอนำพระราเมศวร พระราชโอรสในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระยาจักรีซึ่งเป็นแม่ทัพคนสำคัญและพระยาสุนทรสงครามกลับไปยังพม่าด้วยในฐานะเชลย พร้อมกับช้างเผือก ๔ เชือก และยังต้องส่งราชบรรณาการทั้งช้างและเงินให้กับหงสาวดีทุกปีด้วย ทำให้กรุงศรีอยุธยา ต้องตกเป็นเสมือนประเทศราชในครั้งกระนั้น
พงศาวดารของพม่าระบุว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ถูกนำตัวไปยังหงสาวดีด้วยและทรงผนวช ซึ่งต่อมาพระเจ้าบุเรงนองได้อนุญาตให้พระองค์เสด็จกลับมายังอยุธยา โดยในช่วงเวลาดังกล่าวสมเด็จพระมหินทราธิราช พระราชโอรสทรงปกครองแผ่นดินอยู่
ในเดือนตุลาคมปี พ.ศ. ๒๑๑๑ อยุธยาได้ก่อกบฏ ทำให้พระเจ้าบุเรงนองต้องยกทัพกลับมายังอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งนี้ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาเมืองตาก รวมทั้งหมด ๗ ทัพ ประกอบด้วยทัพของพระมหาอุปราชา เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู เจ้าเมืองอังวะ เจ้าเมืองเชียงใหม่ และเชียงตุง เข้ามาทางเมืองกำแพงเพชร โดยได้ยึดหัวเมืองทางเหนือรวมทั้งพิษณุโลกให้มาร่วมสงครามด้วย ได้จำนวน ทหารมากกว่า ๔ แสนนาย โดยกรุงศรีอยุธยายังคงตั้งรับอยู่ภายในพระนคร
ทัพของกรุงศรีอยุธยาได้ใช้ปืนใหญ่ในการยิงโต้ตอบกับปืนใหญ่ของทัพพม่า ปืนใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากคือปืนนารายณ์สังหาร ทำให้ทัพพม่าที่ตั้งอยู่บริเวณทุ่งลุมพีเสียหายเป็นอย่างมาก และต้องถอยทัพออกไปตั้งที่บ้านพราหมณ์ ให้พ้นจากระยะยิงของปืนใหญ่
พระเจ้าบุเรงนองทรงทราบทำเลที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างดีว่ามีน้ำล้อมรอบ จึงสั่งให้ทัพพม่าเน้นเข้าตีทางด้านตะวันออกเพราะมีคูเมืองแคบที่สุด และพยายามทำสะพานข้ามคูเมือง โดยการถมดินจำนวนมาก แต่ทหารไทยก็ใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ข้ามคูเมืองไม่ได้
ทัพของพระเจ้าบุเรงนอง โจมตีอยู่จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๑๑๒ แม้จะเสียไพร่พลจำนวนมากแต่ก็ยังเอาชนะไม่ได้ ในช่วงนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงมีพระอาการประชวรจนสวรรคต และสมเด็จพระมหินทราธิราชทรงขึ้นครองราชย์แทน
ได้มีการเจรจาเพื่อจะสงบศึกอีกครั้งหนึ่ง โดยฝ่ายอยุธยาจะส่งตัวพระยาราม แม่ทัพคนสำคัญให้กับพระเจ้าบุเรงนองเพื่อประสานไมตรี แต่ปรากฏว่าหลังจากมีการส่งตัวไปแล้ว พระเจ้าบุเรงนองตระบัดสัตย์ไม่ยอมเป็นไมตรีและสงบศึก ทำให้พระมหินทราธิราชทรงพิโรธโกรธแค้นเป็นอย่างมาก และได้รับสั่งให้แม่ทัพนายกองของกรุงศรีอยุธยาเตรียมการป้องกันรักษาพระนครให้เข้มแข็ง
ขณะนั้นใกล้ช่วงฤดูกาลที่จะมีน้ำหลากลงมาท่วมรอบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งน่าจะทำให้กองทัพพม่าต้องถอนกำลังกลับ พระเจ้าบุเรงนองจึงได้ออกอุบายที่จะให้พระยาจักรีที่ถูกนำไปเป็นตัวประกันในสงครามช้างเผือกเป็นไส้ศึก โดยการเกลี้ยกล่อมและเสนอการปูนบำเหน็จให้กับพระยาจักรี ซึ่งพระยาจักรีได้ยินยอมเพราะเห็นแก่ลาภยศ โดยพม่าได้จับพระยาจักรีล่ามโซ่ตรวน และทำทีเสมือนว่าหนีออกมาจากกองทัพพม่าได้ โดยบุเรงนองได้สั่งทหารให้ออกตามล่าตัว และเมื่อไม่สามารถตามล่าได้ก็ได้สั่งให้ประหารทหารที่ให้ติดตามตัวพระยาจักรีทั้งหมด ๓๐ คนตัดศีรษะประจานบนกำแพงค่ายของพม่า เพื่อให้ฝ่ายไทยเชื่อว่าพระยาจักรี หนีออกมาเองจริง
พระมหินทราธิราชทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่ได้พระยาจักรีกลับคืนมา และได้มอบหมายให้พระยาจักรีเป็นแม่ทัพในการจัดกำลังรักษาพระนคร ซึ่งปรากฏต่อมา ว่าพระยาจักรีได้ดำเนินการสับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ของฝ่ายต่างๆ ที่จะป้องกันพระนครให้อ่อนแอลง จนกระทั่งในที่สุดทัพของหงสาวดีก็สามารถเข้าสู่พระนครได้ในระยะเวลาเพียง ๑ เดือน หลังจากนั้น โดยพระยาจักรีส่งสัญญาณให้ทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาและเปิดประตูเมืองให้ กรุงศรีอยุธยาจึงตกเป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกู้ชาติไทยกลับคืนมา ด้วยการหลั่งน้ำษิโณทก ประกาศอิสรภาพ ณ เมืองแคลง ในปีพ.ศ.๒๑๒๗
พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ได้ทรงต่อสู้เพื่อรักษาแผ่นดิน เพื่อให้ชาติคงอยู่มาโดยตลอด บางพระองค์ได้ยอมเสียสละแม้เลือดเนื้อและชีวิต เพื่อรักษาแผ่นดินผืนนี้ไว้
เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารประเทศ จึงเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลภายใต้ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี จะต้องปกปักรักษาแผ่นดินไว้
เหตุการณ์ชายแดนไทยและเขมรในขณะนี้มีลักษณะคุกรุ่นจนกลายเป็นความตึงเครียด ในเรื่องของแนวเขตแดนที่บางส่วนทับซ้อนกันอยู่ เช่นบริเวณประสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ที่ทหารเขมรได้ยั่วยุด้วยการพาชาวเขมรจำนวนหนึ่งขึ้นมาปักธงและร้องเพลงชาติเขมรในบริเวณพื้นที่ที่ยังตกลงกันไม่ได้ ทั้งๆ ที่ปราสาทตาเมือนธม ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทยโดยกรมศิลปากรมาตั้งแต่ปีพุ.ศ.๒๔๗๘ แล้วก็ตาม ซึ่งทหารไทยภายใต้ความรับผิดชอบของแม่ทัพภาคที่ ๒ ซึ่งมีความเข้มแข็งมากก็ได้ดูแลรักษาพื้นที่นี้อย่างเต็มที่ ไม่ให้มีการล่วงล้ำของทหารเขมรเกิดขึ้น
แต่จุดที่เป็นประเด็นและมีทีท่าจะลุกลามนั้นคือบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งทหารเขมรได้เข้ามาขุดคูเลตหรือหลุมเพลาะตลอดแนวชายแดน ในส่วนที่ยังเป็นปัญหาเป็นระยะทางยาวถึง ๖๕๐ เมตร ซึ่งไม่เป็นไปตาม MOU ๔๓ เมื่อทหารไทยเข้าไปตรวจสอบ ก็เกิดการปะทะโดยเขมรเป็นฝ่ายยิงก่อน ฝ่ายไทยจึงต้องยิงโต้ตอบ จนทำให้ทหารเขมรเสียชีวิต
ผู้นำเขมรทั้งระดับสมเด็จ ระดับนายก ตลอดจนผู้บัญชาการทหารของเขมร ได้มีปฏิกิริยาในเรื่องนี้อย่างรุนแรง ด้วยการส่งกำลังรบจำนวนไม่น้อยพร้อมอาวุธพิสัยใกล้และไกลเข้ายังบริเวณชายแดนไทย ซึ่งคงตั้งใจที่จะทำอยู่แต่เดิมแล้ว โดยการออกสื่อทางโซเชียลให้ประชาชนเขมรได้รับทราบในลักษณะที่ไทยเป็นผู้รุกราน และเขมรเป็นผู้ใฝ่สันติภาพ ซึ่งทำให้นานาชาติอาจจะเข้าใจประเทศไทยผิดได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ Facebook โดยกล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องดำเนินการทั้ง ๓ ทาง คือทางทหาร ทางการเมือง และทางกฎหมาย โดยการดำเนินการทางกฎหมายอาจจะใช้วิธีเดียวกับการที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียเขาพระวิหารก็เป็นได้
เรื่องการรุกรานของเขมรนั้น ถึงแม้ประชาชนจะสนใจติดตาม แต่สื่อสำนักต่างๆก็ไม่ได้มีการนำเสนอในเรื่องนี้เท่าที่ควร จนเหมือนกับถูกปิดปาก แม้แต่รัฐบาลเองก็ไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการให้ประชาชนหรือนานาชาติได้รับทราบจุดยืนของไทยแม้แต่น้อย การให้ข่าวของรัฐมนตรีกลาโหมก็มีเพียงว่ามีการเจรจากันและใช้คำนี้มาหลายครั้งแล้ว โดยไม่เห็นผลลัพธ์ใดๆ
ถ้ารัฐบาลโดยนายกฯหญิงคนนี้ ไม่มุ่งมั่นที่จะรักษาแผ่นดินของชาติ และยังบริหารประเทศจนเกือบจะเรียกว่าล้มเหลว (failed state) ภายใต้การถูกครอบงำเชิงนโยบายโดยอดีตนักโทษ ก็โปรดพิจารณาตัวเองว่าจะดำเนินการอย่างไรให้ตัวเองและคณะรัฐบาลพ้นสภาพจากการเป็นผู้บริหารประเทศเสียที หรือว่าจะให้ประชาชนเป็นผู้ขับไล่
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี