ในอดีตยุคสมัยของปู่ ย่า ตา ยาย การบวชไม่ใช่เพียงพิธีกรรมทางศาสนา แต่คือรากแก้วของวัฒนธรรม เป็นเครื่องหมายของการก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และการประกาศความพร้อมในการเป็นกำลังหลักของครอบครัว
การบวชในสมัยก่อนไม่ใช่เรื่องง่ายดาย แต่เป็นการเตรียมความพร้อมอย่างจริงจังทั้งกายและใจโดยผู้ที่จะบวชหรือที่เรียกว่า “นาค” จะต้องเข้าไปอยู่วัดล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน เพื่อฝึกฝนตนเอง ตั้งแต่การเดินตามพระบิณฑบาตอย่างสำรวม ทำวัตรสวดมนต์ การกวาดลานวัด และทำความสะอาดพื้นที่ส่วนรวม ไปจนถึงการท่องขานนาคจนคล่องแคล่ว ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงก่อนก้าวสู่ความเป็นพระภิกษุ
ความเชื่อที่ว่า “บวชให้พ่อแม่เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์” คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ลูกผู้ชายทุกคนมุ่งมั่นทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ การบวชในอดีตจึงไม่ใช่แค่การทำบุญ แต่คือการแสดงความกตัญญูสูงสุด ไม่เพียงเท่านั้น การบวชยังเป็นการศึกษาและฝึกฝนตนเอง วัดคือศูนย์กลางการเรียนรู้ที่อบรมสั่งสอนพระธรรมวินัยและขัดเกลาจิตใจให้มีระเบียบวินัยก่อนออกไปใช้ชีวิตในสังคม
นอกจากนี้ การบวชยังถือเป็นการยืนยันความเป็นชายที่สมบูรณ์ ผู้ที่ยังไม่เคยบวชจะถูกมองว่ายัง “ไม่สุก” และอาจถูกตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบจนบางครั้งก็ส่งผลกระทบต่อการสร้างครอบครัว
ที่สำคัญ การตรวจสอบประวัติในอดีตไม่ได้ทำด้วยเอกสาร แต่ด้วยสายตาของคนในหมู่บ้านที่รู้จักกันดี หากใครประพฤติไม่ดีหรือมีประวัติด่างพร้อย ก็ยากที่จะได้บวชในวัดนั้นๆ เพราะการบวชไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่คือความศรัทธาของคนทั้งชุมชนที่ฝากไว้กับผู้ที่จะบวช พิธีการต่างๆ ก็เต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็น “การทำขวัญนาค” ที่หมอทำขวัญจะใช้บทกลอนขับกล่อมให้ข้อคิดและเตือนสติ ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นของครอบครัว ไปจนถึงขบวนแห่นาคที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นการประกาศให้ชุมชนรับรู้ถึงงานบุญครั้งสำคัญ
ทว่า ในปัจจุบัน ประเพณีอันดีงามเหล่านี้กลับถูกบิดเบือนไปอย่างน่าใจหาย การบวชที่เคยมีคุณค่าทางจิตวิญญาณได้กลายเป็นเพียง พิธีกรรมที่ฉาบฉวย หลายคนเลือกที่จะบวชเพียง ระยะสั้นๆ ไม่กี่วันก็ลาสิกขาออกไป โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือการที่ “ผ้าเหลือง” ซึ่งควรเป็นเครื่องหมายของความบริสุทธิ์ ได้กลายเป็น “เกราะกำบัง” ของผู้ต้องหาและผู้กระทำผิดกฎหมายที่ใช้เป็นช่องทางในการหลบหนีคดี แทนที่จะสละทางโลกอย่างแท้จริง พวกเขากลับใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อความอยู่รอดส่วนตัวอย่างน่าละอาย
การบวชในวันนี้จึงแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิงจากเดิมที่เน้นแก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมและบทบาทของชุมชนในการคัดกรองบุคคล ทุกวันนี้กลับกลายเป็นพิธีกรรมที่เต็มไปด้วยความหละหลวม และที่น่าเศร้าคือบางครั้งยังมีการพบว่า เจ้าอาวาสเองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการเปิดทางให้ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติได้บวช ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำลายความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างรุนแรง
ปฏิบัติการ “กวาดลานวัด” ที่นำโดย “บิ๊กเต่า”พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จากการเข้าตรวจค้นวัดกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ได้พบผู้ต้องหาตามหมายจับถึง 154 รูปที่หนีมาบวชเป็นพระใช้ผ้าเหลืองในการปิดบังตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติด และมีอีกจำนวนหนึ่งที่ยอมลาสิกขาไปก่อนหน้านี้
การจับกุมที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การบังคับใช้กฎหมายแต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐและคณะสงฆ์ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำความสะอาดวงการศาสนาอย่างจริงจัง
มาตรการที่เข้มงวดขึ้นในปัจจุบัน เช่น การตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้บวชทุกคนและการกำหนดบทลงโทษสำหรับพระผู้ใหญ่ที่ละเลยการตรวจสอบ จึงเป็นความหวังในการฟื้นฟูศรัทธาที่เริ่มสั่นคลอน
บทเรียนจากอดีตสอนให้เราเห็นว่า เมื่อขาดซึ่งการเตรียมตัวอย่างแท้จริง การตรวจสอบที่เข้มงวดและความตั้งใจอันบริสุทธิ์ การบวชก็อาจกลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ว่างเปล่า และนำมาซึ่งความเสื่อมเสียที่ไม่อาจประเมินค่าได้ การจัดการอย่างเด็ดขาดในวันนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ “ผ้าเหลือง” กลับมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์และศรัทธาอีกครั้งอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี