บรรดากองเชียร์ ลูกขุนพลอยพยัก ขอได้โปรดอย่าหลงเชื่อหรือเคลิบเคลิ้มไปว่า การที่ศาลอาญา ยกฟ้อง “นายทักษิณ ชินวัตร”คดีม.112 แล้ว จะทำให้การเมืองนิ่ง อันส่งผลให้รัฐบาลของลูกสาว จะอยู่รอดต่อไปได้แบบยาวๆ ตลอดรอดฝั่ง
หรือบางคนอาจจะฝันไกลไปว่า ผลจากคดีนี้ที่ศาลยกฟ้อง อาจจะส่งสัญญาณดีๆ เชื่อมโยงไปถึงคดีคลิปเสียง ที่ “แพทองธาร ชินวัตร” กำลังต่อสู้อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญใครคิดเยี่ยงนี้ ขอให้หยุดฝัน ลืมตาตื่น เลิกคิดไปได้ เพราะมันเป็นคนละเรื่องกันเลย!!
กระนั้นก็ดี ไม่ขอก้าวล่วงการพิจารณาคดีของศาล แต่แค่ได้อ่านคำวินิจฉัย บางวรรค บางตอน จนเป็นเหตุที่ทำให้มีคำสั่งยกฟ้องในที่สุดก็ได้แต่สะดุ้งเฮือก เล่นเอาความคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกล
คำวินิจฉัย บางวรรค บางตอน ระบุว่า “ในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ก็ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิด”....
ต้องทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นว่า แต่ละศาลของบ้านเรานั้น ใช้หลักวิธีการพิจารณาคดีความที่แตกต่างกัน ซี่งคดี ม.112 ของ “นายทักษิณ ชินวัตร” อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลอาญา
ทั้งนี้ ศาลอาญาใช้ ระบบกล่าวหา (Accusatorial System) โดยมีหลักการสำคัญคือ ภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับฝ่ายโจทก์ ให้พิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดจริงโดยปราศจากข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล และจำเลยมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการต่อสู้คดี โดยศาลจะวางตัวเป็นกลาง ทำหน้าที่ตัดสินจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำเสนอ
ลักษณะสำคัญของระบบกล่าวหาในศาลอาญา
1. ภาระการพิสูจน์ของโจทก์:
โจทก์ (พนักงานอัยการ) ต้องนำพยานหลักฐานมายืนยันให้ศาลเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริง
2. สิทธิของจำเลย:
จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานมาหักล้างข้อกล่าวหาของฝ่ายโจทก์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองอย่างเต็มที่
3. ศาลเป็นกลาง:
ผู้พิพากษาในระบบนี้มีบทบาทเป็นกรรมการที่คอยดูแลให้คู่ความดำเนินการพิจารณาคดีไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยไม่เข้าไปสืบพยานเอง
สรุปสั้นๆแบบกระชับใจความ ก็คือ ศาลอาญา จะพิจารณาไปตามหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำมาแสดง ถ้าหลักฐานไม่เพียงพอ ศาลท่านก็ไม่สามารถจะลงโทษจำเลยได้ ทั้งๆ ที่บางคดีจำเลยนั้นผิดเต็มประตู แต่ก็ลงโทษเอาผิดไม่ได้
ทำเครื่องหมายดอกจัน กากบาท แปะข้างฝาเอาไว้ได้เลยว่า เหตุที่เป็นเยี่ยงนี้ ก็เพราะบางคดี โจทก์ชกไม่สมศักดิ์ศรี
สวรรค์มีตา ฟ้ามีใจ นรกมีจริง จากโจทก์อาจจะเปลี่ยนกลายเป็นจำเลยเข้าสักวัน!!
อย่างไรก็ตาม ศาลไทยมีหลายประเภท ขอยกตัวอย่างศาลที่ไม่ได้ใช้ระบบกล่าวหาเหมือนกับศาลอาญาก็คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งกำลังพิจารณาคดีชั้น 14 ของเทวดา กับศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพิจารณาคดีคลิปเสียงของลูกสาวเทวดา โดยทั้งสองศาลนี้ ใช้ระบบไต่สวน
ระบบไต่สวน คือศาลจะมีอำนาจในการค้นหาความจริงและพยานหลักฐานได้ทุกประเภท เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตามที่ปรากฏในคดี ไม่จำกัดอยู่แค่พยานหลักฐานที่คู่กรณีนำเสนอศาลมีอำนาจเรียกเอกสาร บุคคล หรือให้หน่วยงานรัฐดำเนินการเพื่อประกอบการพิจารณา และมีอำนาจในการชี้ขาดข้อเท็จจริงเอง แทนการให้คู่กรณีทำหน้าที่ค้นหาความจริง
ลักษณะสำคัญของระบบไต่สวน
ที่สำคัญ ศาลจะเป็นผู้ซักถามพยาน แต่หากผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องจะถาม ต้องได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น ซึ่งการที่ศาลจะเป็นผู้ซักถามพยานนั้น เราได้เห็นตัวอย่างกันไปสดๆ ร้อนๆ แล้วจากคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญ เรียก “แพทองธาร ชินวัตร”ไปขึ้นศาลไต่สวนในคดีคลิปเสียง จนกระทั่งได้เห็นภาพที่ “แพทองธาร”แสดงอากัปกิริยา สะท้อนออกมาเป็นภาษากายให้เห็นกันว่าเธอมีความเครียดจัด มีการมองต่ำ เม้มปากบีบมือตัวเองอยู่ตลอด
29 สิงหาคมนี้ ได้เป็นอันรู้กันว่า “แพทองธาร”จะรอดหรือร่วง ขณะที่ “นายทักษิณ ชินวัตร”ก็ยังไม่พ้นพงรกพงหนาม เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดชี้ขาดคดีเทวดาชั้น 14 ในวันที่ 9 กันยายนนี้
คำตอบมีอยู่ 3 ข้อคือ
พ่อรอด-ลูกร่วง หรือพ่อร่วง-ลูกรอด หรือไม่ก็กอดคอกันร่วงทั้งพ่อทั้งลูก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี