อย่าได้คิดเชียวว่า การเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญของ “แพทองธาร ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี เพื่อขึ้นไต่สวนพยานบุคคลคดีคลิปเสียง เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง หรือเป็นความกล้าหาญชาญชัยจนถึงขั้นต้องปรบมือให้ในความใจเด็ดของเธอที่กล้าไปเผชิญหน้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
และก็อย่าได้หลงประเด็นกันเป็นอันขาดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายกย่องชื่นชม เพราะคดีนี้มันไม่ใช่แค่เรื่อง “บกพร่องโดยสุจริต” หรือ “หนูไม่รู้” แต่มันคือ คดีที่เกี่ยวโยงกับเดิมพันของประเทศชาติ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ และอธิปไตยของประเทศชาติ
อย่าลืมว่า “แพทองธาร”ถูกสว.จำนวน 36 คน ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่างเธอกับ “ฮุนเซน”
“แพทองธาร”ถูกกล่าวหาถึง 2 ข้อหนัก
หนึ่งคือ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
สองคือ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ฉะนั้น วิญญูชนพึงสดับตรับฟังได้ว่า “วีรเวร”หรือ “วีรกรรม”ที่ “แพทองธาร” ได้สร้างขึ้นมานี้ นอกจากจะเป็นการ “อัตวินิบาต” ตัวเองแล้ว ยังลากพาเอา “ประเทศชาติ” เข้าไปเกี่ยวโยงด้วยก่อนที่จะเกิดเหตุปะทะกับกัมพูชาในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม การขึ้นศาลของ “แพทองธาร” ในครั้งนี้อาจจะไม่สะใจ ทั้ง“กองเชียร์” และ “กองแช่ง”เพราะศาลได้แจ้งกับสื่อมวลชนและผู้ที่มาฟังการไต่สวนให้ได้รับทราบว่า การไต่สวนจะเรียกไต่สวนทีละคน คือ “นายฉัตรชัยบางชวด” เลขา สมช. และ “แพทองธาร” โดยไม่ถ่ายทอดสดสัญญาณให้บุคคลภายนอกได้รับชมและรับฟัง รวมทั้งยังสั่งห้ามเปิดเผยรายละเอียดการไต่สวน เพราะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง
ที่สำคัญ เมื่อไม่มีการถ่ายทอดสด เราจึงพลาดที่จะได้เห็นอากัปกิริยาของนายกรัฐมนตรีหญิงผู้นี้ ที่แสดงออกมาต่อหน้าบัลลังก์ศาล หลังจากที่เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 เคยสร้างช็อตเด็ดอันลือลั่นสะท้านภพ ด้วยการ “เบะปาก” ต่อหน้าบัลลังก์ศาลอาญามาแล้วในคดีที่วงศาคณาญาติจากตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ หลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ฯ
อากัปกิริยา “เบะปาก”ดังกล่าว แสดงถึงการเสียทรงเก็บอาการไม่อยู่ กลายเป็นภาพจำในอดีต ที่ตามมาหลอกหลอนเธอตราบจนทุกวันนี้!!
กระนั้นก็ดี เมื่อพลิกอดีตย้อนกลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน มีรายงานว่า ระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านกระบวนการวิธีพิจารณาคดี กล้องได้จับภาพมาที่สีหน้าของ “แพทองธาร” ซึ่งสังเกตได้ว่ามีสีหน้าที่เคร่งเครียด กะพริบตาถี่ มองต่ำ เม้มปาก และกุมมือไว้ด้านหน้าพร้อมทั้งบีบนิ้วโป้งอยู่ตลอด!!
มีรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ใช้เวลาไต่สวน “แพทองธาร” นานถึง 1.30 ชั่วโมง
ก่อนที่จะปิดการไต่สวน พร้อมมีคำสั่งห้ามนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่และห้ามบิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จะสร้างความสับสนต่อสาธารณชน
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อห้ามของศาลที่สั่งห้ามนำข้อมูลในการไต่สวนออกเผยแพร่ แต่ก่อนหน้านี้ “แพทองธาร” ได้ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาล ยืนยันว่า การกระทำของตน ไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการการเมือง พ.ศ. 2564 และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดำรงตำแหน่ง
ตัวอย่างเช่น ในการสนทนากับ “ฮุนเซน”เธอชี้แจงว่า
“ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจะนําผลประโยชน์ของประเทศไทยไปแลกเปลี่ยนกับต่างชาติมีเพียงการพยายามเจรจาต่อรองเงื่อนไขเพื่อให้สถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาคลี่คลายลง โดยใช้คําพูดเชิงจิตวิทยาระหว่างการสนทนา เพื่อโน้มน้าวหวังให้สมเด็จฮุนเซน ช่วยแนะนําหรือเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์และลดความขัดแย้งผ่านไปยังผู้นํารัฐบาลกัมพูชา
การเจรจาในลักษณะสายตรงระหว่างผู้นํา หรือสายด่วนผู้นํา (Leader to Leader Hotline) เป็นวิธีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพและใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก และมักใช้เพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนหรือประเด็นที่มีความอ่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด หรือสร้างความไว้ใจกัน โดยปกติวิธีการเช่นนี้จะไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ และมักไม่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ กรณีนี้ แม้การเจรจาจะเป็นไปแบบส่วนตัว แต่ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน”
ไม่รู้ว่า ใครเป็นคนวางหมากให้เธอ ยอมเดินทางไปขึ้นศาลด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประหนึ่งจะสร้างฉากทัศน์ให้เห็นว่า เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำอะไรผิด จึงกล้ามาศาล
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นัดอ่านคำวินิจฉัยคดีนี้วันที่ 29 สิงหาคม นี้
“แพทองธาร” จะอยู่หรือไป ก็คงต้องรอไปอีกอึดใจเล็กๆ เว้นเสียแต่เธอจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวชิงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตัดหน้า เพื่อหวังจะให้ปิดคดีไปเลย!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี