ประเด็นการเมืองกลับมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคำร้องถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กรณีคลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 นี้ เวลาบ่ายสามโมงเป็นต้นไปท่ามกลางกระแสข่าวสะพัดอย่างต่อเนื่องว่าจะชิงลาออกก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยออกมา
เรื่องการลาออกของน.ส.แพทองธาร เคยถูกวิเคราะห์ความเป็นไปได้มาก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น โอกาสรอดเป็นไปได้น้อยมากหากลาออกก่อนยังอาจมีอนาคตทางการเมืองจะทำให้ศาลยุติการวินิจฉัย แถมอ้างได้ว่ามีจิตสำนึกแสดงสปิริตของผู้นำ และนายใหญ่ยังเป็นผู้กำหนดเกมส่งนายชัยเกษม นิติสิริ ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กุมอำนาจต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ดูเหมือนความเป็นไปได้ในการลาออกของ น.ส.แพทองธาร จะถูกปิดตายลงไปชั่วขณะ หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พ่อ ขึ้นไปประกาศบนเวทีแห่งหนึ่งเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมทางเลือก3 ทางคือ หากไม่ผิดน.ส.แพทองธารก็กลับมาทำหน้าที่นายกฯต่อ ถ้าไม่รอดก็เสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ และทางสุดท้ายคือยุบสภา
กระแสการเมืองที่ผ่านมา จึงเชื่อว่า นายทักษิณ ชินวัตร จะเข็นซากบุตรสาวไปให้สุดทาง คงไม่ให้ลาออกหรือ ยุบสภาง่ายๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีไพ่ให้เล่นอยู่ในมือ รวมทั้งนายทักษิณเองเชื่อว่าศาลจะรับฟังข้อเท็จจริง และเหตุผลในการกระทำอย่างบริสุทธิ์ใจของ น.ส.แพทองธาร ต่อความพยายามแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติวิธี
แต่หลังจากน.ส.แพทองธาร ได้ขอขยายเวลาชี้แจงถึง 2 ครั้ง ครั้งละ 15 วันโดยให้เหตุผลว่าทำคำชี้แจงไม่ทัน จึงเริ่มมีคำถามว่า แค่คลิป 17 นาที ทำไมต้องใช้เวลาเขียนคำชี้แจงนานเป็นเดือนๆ และถ้ามั่นใจว่าที่ทำมาทั้งหมดนั้นบริสุทธิ์ใจจริง ก็ควรจะรีบชี้แจงให้จบเพื่อสร้างความชัดเจนทางการเมืองโดยเฉพาะในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ประเทศชาติกำลังมีภัยคุกคามความมั่นคง
การซื้อเวลาดังกล่าว บวกกับอาการกบดานเงียบๆ ของนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในช่วงที่ผ่านมานี่เอง ทำให้เกิดกระแสว่าไพ่การเมืองกำลังจะถูกเปลี่ยนหน้าเล่น สมการทางการเมืองฉากใหม่กำลังถูกจัดวางบนกระดาน รอแค่จังหวะเท่านั้น ซึ่งทุกฉากทัศน์ย่อมเป็นไปได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองในเวลานั้นๆ
โดยเฉพาะล่าสุด มีผลสำรวจของนิด้าโพลออกมาอย่างน่าตกใจว่า คนไทยให้ความไว้วางใจและพึงพอใจรัฐบาลต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เหลือต่ำมากเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ขณะที่ระดับความไว้วางใจกองทัพพุ่งสูงสุดกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวชี้บอกนัยทางการเมืองได้ในระดับหนึ่งว่า คนไทยไม่เอารัฐบาลชุดนี้แล้ว
ทั้งนี้ กระแสข่าวการชิงลาออกของ น.ส.แพทองธารในทางการเมืองสามารถมองได้หลายมุม รวมถึงประเด็นที่ว่า เป็นการส่งสัญญาณของผู้กำหนดเกม ยอมถอยหนึ่งก้าวให้ น.ส.แพทองธารลาออก หวังลดแรงกดดัน และรักษาเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตนายกฯคนใหม่เพื่อยึดกุมอำนาจทางการเมืองต่อไป
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า เวลาของน.ส.แพทองธารได้หมดสิ้นลงแล้ว หลังเกิดศึกไทย-เขมร ท้ายสุดไม่ว่าจะลาออกหรือไม่ก็ตาม และในบริบททางการเมืองนั้นก็ถือว่าจบแล้วเช่นกัน หากยังคิดฝืนที่จะไปต่อ ไม่ว่าเป็นน.ส.แพทองธาร หรือนายชัยเกษมคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ได้เลยไปไกลถึงขั้นประชาชนไม่เอารัฐบาลภายใต้อุ้งมือตระกูลชินวัตรแล้ว
เพราะฉะนั้นผู้กุมอำนาจตัวจริง ควรต้องคิดให้ถี่ถ้วนและมองสถานการณ์จริงให้รอบด้าน ต้องเลิกหลงตัวเองหรือมัวเมาในอำนาจ วันนี้ประเทศไทยสูญเสียผลประโยชน์ และสูญเสียโอกาสไปกับวิกฤตการเมืองมามากเกินพอ อย่าต้องให้ประชาชนออกมาตะโกนขับไล่ทั้งแผ่นดินอีกเลย เพราะแค่ต้องสู้กับผู้นำสองพ่อลูกเขมรก็เหนื่อยมากพอแรงแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี