ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมามีเรื่องที่กระทบต่อผู้ใช้แรงงาน คือ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอคือ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง จาก “ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป” เป็น “วันที่ 1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไป”
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการเลื่อนระยะเวลาการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2569 ให้สอดคล้องกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม วันใช้บังคับกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไปเพื่อให้สอดคล้องกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
เหตุผลที่เลื่อนกระทรวงแรงงานอ้างว่า เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ เช่น การขึ้นภาษีทางการค้าของสหรัฐอเมริกา การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตลอดจนสถานการณ์ความตึงเครียดจากความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งยังไม่มีข้อยุติที่แน่ชัด ส่งผลให้สถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบต้องปรับตัวและเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อลูกจ้างและนายจ้างโดยตรง ดังนั้น จึงสมควรเลื่อนระยะเวลาการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าวเพื่อคงไว้ซึ่งการจ้างงานและบรรเทาความเดือดร้อนลดภาระทางการเงินของนายจ้างและลูกจ้างจากภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี อัตราเงินสะสมและเงินสมทบที่จะเก็บจากลูกจ้างและนายจ้างยังคงเดิม คือ ในระยะ 5 ปีแรก (1 ตุลาคม 2569 - 30 กันยายน 2574) ลูกจ้างและนายจ้าง(แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.25 ของค่าจ้าง และตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2574 เป็นต้นไป ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.5 ของค่าจ้าง ในขณะเดียวกันหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าวก็ยังคงเดิมด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเห็นชอบด้วยแล้ว
ประเด็นดังกล่าวนายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานเครือข่ายผู้ใช้แรงงานพรรคประชาชน แถลงคัดค้านทันที ทั้งตำหนิกระทรวงแรงงานที่ได้ทำลายความหวังของแรงงานมากกว่า 9.3 ล้านคน ที่ใจจดจ่อรอการจัดตั้งกองทุนนี้มานานกว่า 26 ปี พวกเขาหวังเพียงว่าหากมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนนี้ พวกเขาจะมีเงินออมไว้ใช้จ่ายเมื่อพวกเขาต้องออกจากงานหรือเสียชีวิตเท่านั้น ซึ่งไม่ได้มากมายอะไรจัดเก็บเพียง 0.25 เท่านั้น
การเลื่อนออกไปอีก 1 ปี เท่ากับลูกจ้างสูญเสียโอกาสที่จะสะสมเงินไม่ต่ำกว่าปีละ 16,784 ล้านบาท ทั้งเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้าง ทั้งที่ควรถูกจัดเก็บเพื่อเพิ่มความมั่นคงของลูกจ้างที่มีมากกว่า 9 ล้านคน เมื่อมีการเลื่อนออกไปอย่างน้อย 1 ปี เท่ากับทำลายโอกาสการสร้างเงินออมของคนทำงานทั้งประเทศ ไม่มีหลักประกันว่าจะไม่เลื่อนอีก การเลื่อนครั้งนี้ไม่ได้มีมาตรการที่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะไม่เลื่อนซ้ำอีกเมื่อครบกำหนด 1 ต.ค.2569
ก็ต้องขอสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ นายเซียจำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานเครือข่ายผู้ใช้แรงงานพรรคประชาชน ที่ออกมาคัดค้านในเรื่องดังกล่าว แต่คงไม่เป็นผลอะไรแล้ว นอกจากรอไปอีก 1 ปี และต้องหาทางป้องกันไม่ให้มีการเลื่อนออกไปอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี