เหตุการณ์ดินสไลด์ครั้งใหญ่ที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ได้คร่าชีวิตประชาชนและสร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนอย่างน้อย 5 หลัง มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตหลายราย ภาพเหล่านี้ไม่เพียงเป็นโศกนาฏกรรมที่สร้างความสะเทือนใจ หากยังสะท้อนถึงความจริงที่ว่า ประเทศไทยยังเปราะบางต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างยิ่ง และมาตรการของรัฐในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนยังคงไม่เพียงพอ
ในแต่ละปี ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมดินถล่ม หรือพายุฤดูร้อน ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับบทเรียนที่สังคมยังไม่เคยถูกนำไปใช้จริง การจัดการเชิงป้องกันยังขาดความต่อเนื่อง ขณะที่ระบบเตือนภัยยังไม่สามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างทั่วถึงและทันท่วงที
สิ่งที่เกิดขึ้นที่แม่แจ่ม จึงเป็นเสมือน “สัญญาณเตือน”ที่ดังชัดขึ้นทุกครั้ง ว่าประเทศยังไม่มีความพร้อมเพียงพอในการรับมือภัยพิบัติ ข้อเท็จจริงนี้ชี้ให้เห็นช่องว่างใหญ่ของระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติ ซึ่งควรได้รับการยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่เพียงปัญหาที่รอการแก้ไขเฉพาะหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง เหตุการณ์นี้ยังนำมาสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับ “งบกลาง” ซึ่งตามหลักการแล้วงบกลางคือเครื่องมือสำรองของรัฐบาล ใช้ในกรณีเร่งด่วนและฉุกเฉิน เช่น การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ หรือการรับมือเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความมั่นคงของประเทศ แต่ในทางปฏิบัติกลับปรากฏชัดว่า งบกลางส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้ในโครงการที่ไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วน เช่น นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาททุกเส้นทาง หรือนโยบายที่มีลักษณะเอื้อต่อคะแนนนิยมทางการเมือง
คำถามคือ เหตุใดทรัพยากรที่ควรถูกเก็บรักษาไว้เพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงถูกนำไปใช้กับโครงการที่สามารถวางแผนงบประมาณล่วงหน้าได้ หากรัฐบาลจริงจังกับการคุ้มครองประชาชน งบกลางต้องถูกจัดสรรและใช้เพื่อความปลอดภัยของชีวิตเป็นลำดับแรก ไม่ใช่เพื่อการผลักดันนโยบายประชานิยมที่อาจสร้างความนิยมทางการเมือง แต่ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเร่งด่วน
ปัญหานี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการสร้างกลไกควบคุมการใช้งบกลางให้มีความชัดเจนและโปร่งใสมากขึ้น ประเทศควรกำหนดสัดส่วนขั้นต่ำของงบกลางที่ต้องสำรองไว้ใช้ด้านภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉินโดยเฉพาะ พร้อมทั้งมีกลไกตรวจสอบอิสระ เพื่อป้องกันไม่ให้งบประมาณส่วนนี้ถูกเบี่ยงเบนไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปกป้องชีวิตประชาชน
ในหลายประเทศที่เผชิญภัยพิบัติรุนแรง รัฐบาลมักมีกองทุนถาวรสำหรับการบรรเทาสาธารณภัย โดยจัดสรรงบประมาณอย่างสม่ำเสมอ และสร้างระบบการเข้าถึงทรัพยากรที่รวดเร็วเมื่อเกิดเหตุ แต่ประเทศไทยกลับยังขาดโครงสร้างเช่นนี้ เรามีเพียงงบกลางซึ่งอยู่ในดุลพินิจของฝ่ายการเมือง และนั่นย่อมก่อให้เกิดข้อครหาตามมาเสมอ ว่าทรัพยากรสำคัญได้ถูกใช้อย่างตรงจุดหรือไม่
ภัยธรรมชาติไม่เคยรอเวลา และไม่เคยเลือกเป้าหมายว่าจะเกิดกับใครหรือที่ใด ความสูญเสียที่แม่แจ่มจึงเป็นบทเรียนราคาแพง ที่ควรกระตุ้นให้รัฐและสังคมไทยยืนยันร่วมกันว่า งบกลางต้องทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงช่องทางเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนนโยบายเชิงการเมือง
วันนี้ รัฐบาลควรแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่างบกลางมีไว้เพื่อการคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน มิใช่เพื่อสร้างความนิยมระยะสั้น หากยังคงปล่อยให้ทรัพยากรถูกเบี่ยงเบนอย่างที่เป็นอยู่ ความสูญเสียในอนาคตอาจหนักหน่วงเกินกว่าที่สังคมไทยจะรับมือไหว
ท้ายที่สุด ความเสียหายจากภัยพิบัติ ไม่ควรจบลงเพียงการช่วยเหลือเฉพาะหน้า หากต้องกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการทบทวนโครงสร้างงบประมาณ และสร้างมาตรการที่มั่นคงกว่าเดิม เพื่อให้มั่นใจได้ว่า งบกลางถูกสงวนไว้เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาตินั่นคือ การปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนไทยทุกคน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี