“ผมมาเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ไม่ได้มาด้วยบุญคุณของใคร ยกเว้นบุญคุณของพี่น้องประชาชนชาวไทย โดยผ่านผู้แทนราษฎรของท่าน โดยมีผู้ที่ผมตอบแทนบุญคุณ คือ ประชาชนชาวไทย” – นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 กล่าวระหว่างแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อ 7 ก.ย. 2568

1. เป็นอันว่า ประเทศไทยมีนายกฯ คนที่ 32 อย่างเป็นทางการ

ปี’66 นายกฯ ชื่อ เศรษฐา

ปี’67 นายกฯ ชื่อ แพทองธาร

ปี’68 นายกฯ ชื่อ อนุทิน !!!

ทั้งหมด มาจากการเลือกตั้งครั้งเดียวกัน !!!

2. เมื่อวานนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เข้าพิธีรับสนองพระบรมราชโองการฯ เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างเป็นทางการ

นายกฯ อนุทินยืนยันว่า คัดสรร ครม.อย่างดี ไม่มีการทดลองงาน พร้อมลุยงานทันที ไม่มีช่วงโปร ทำงานทันทีหลังจากถวายสัตย์

ยึดความถูกต้องของกฎหมายเป็นหลัก ไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

จะเร่งทำงานแบบไม่มีวันหยุด ไม่มีพักผ่อนกับครอบครัว จะทุ่มเทสุดความสามารถตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน วางรากฐานที่มั่นคงให้รัฐบาลต่อไป

โดยจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาใน 4 ด้านที่เป็นภัยคุกคามกระทบชีวิตประชาชนชาวไทย คือ 1.ปัญหาเศรษฐกิจ 2.ปัญหาความมั่นคง 3.ปัญหาภัยธรรมชาติ 4. ปัญหาภัยสังคม

จะลดรายจ่าย ลดค่าครองชีพ ลดค่าพลังงาน แก้ปัญหาความมั่นคง เร่งแก้ปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา ยึดหลักการไม่สูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางเซนติเมตร รักษาผลประโยชน์ และชดเชยผลกระทบประชาชนชายแดนอย่างรวดเร็ว เรื่องภัยธรรมชาติเร่งเสริมสร้างระบบเตือนภัย ระบบป้องกันภัย ระบบการชดเชยค่าเสียหายอย่างรวดเร็วเป็นธรรม และเร่งปราบปรามยาเสพติดการพนัน การพนันออนไลน์ และภัยสังคมทุกรูปแบบ

จะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกระบวนการและที่ศาลรัฐธรรมนูญวางกรอบไว้ และยืนยันจะยุบสภาในกรอบ 4 เดือน

3. รัฐบาลนายกฯ อนุทิน ไม่มีเวลาฮันนีมูน ไม่มีช่วงให้ทดลองงาน หรือไหว้ครู หรืออุ่นเครื่อง

เพราะเข้ามาตอนที่ไฟกำลังไหม้บ้านแล้ว ปัญหารุมเร้าประเทศชาติ ทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคง

แถมเข้ามาพร้อมเงื่อนไขข้อตกลงทางการเมืองกับพรรคส้ม ว่าจะต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และต้องเดินไปสู่การยุบสภาภายใน 4 เดือน แก้รัฐธรรมนูญ ทำประชามติ

ขณะเดียวกัน ก็ต้องเจอกับการต่อสู้ทางการเมืองของทักษิณและพรรคเพื่อไทย ที่พยายามรักษาอำนาจรัฐไว้ในมือตนเองจนวินาทีสุดท้าย

4. สนามทุ่นระเบิดการเมือง กับเส้นทางนายกฯ อนุทิน

เส้นทางของรัฐบาลนายกฯอนุทิน เหมือนเดินไปในทุ่นระเบิดการเมือง

“กับระเบิด” ที่จะต้องถอดสลัก มีดังต่อไปนี้

4.1 กับระเบิดความสิ้นหวังและไม่ไว้วางใจทางการเมือง

โฉมหน้า ครม.อนุทิน 1 ต้องทำให้สังคมมีความหวัง

การที่มีโควตาคนนอกในกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจและต่างประเทศ นับว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

แม้ยังไม่เริ่มทำงาน แต่ทำให้ประชาชนที่เบื่อ เซ็ง และสิ้นหวังกับนักการเมืองหน้าเก่าๆ ได้เห็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ๆ ที่เป็นนักบริหารมืออาชีพเข้ามาทำงานบ้าง

การแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ก็เช่นกัน การเปลี่ยนตัวผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ เป็นโอกาสใหม่ที่จะเดินหน้าแก้ปัญหา โดยปราศจากความคลางแคลงใจว่ามีดีลลับเหมือนสมัยรัฐบาลหลานอังเคิล

4.2 กับระเบิดการเมือง จากทักษิณและเพื่อไทย

ดูอาการของพลพรรคเพื่อไทย พลังทางการเมืองถดถอยลงไปมาก

หลังอุ๊งอิ๊งค์พ้นตำแหน่ง หลังทักษิณเดินทางออกนอกประเทศ

ดังปรากฏว่า มี สส. เพื่อไทยหลายคน โหวตข้ามขั้ว

แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้คะแนนจากพรรคร่วมเดิมอย่างเต็มที่ หายไปจำนวนมาก

อดีตนายกฯ เศรษฐา บอกว่า “ผมเลิกการเมืองแล้วครับ”

เช่นเดียวกับคนใกล้ชิดทักษิณบางคน ถึงกับประกาศวางมือการเมือง ลาออกจากการเป็น สส. พรรคเพื่อไทย

ดูแล้ว “แนวรบด้านแดง” ไม่อันตรายเท่ากับ “แนวรบด้านส้ม”

เพราะฝั่งแดงเอง หลังจากนี้ ยังต้องเผชิญกับสภาวะ “ผึ้งแตกรัง” หรือ “เห็บกระโดด”?

4.3 กับดักพรรคเซาะกร่อนบ่อนทำลาย

นายกฯ อนุทิน มีข้อตกลงทางการเมืองกับพรรคส้ม ก็จะต้องทำตามคำมั่นสัญญา

แต่ประการสำคัญ นายกฯอนุทิน จะต้องเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วย

มิใช่ถูกข้อตกลงกับพรรคส้มบังคับลักพาตัวไปเป็นนายกฯที่รับใช้พรรคเซาะกร่อนบ่อนทำลาย

การทำตามข้อตกลงของพรรคส้ม ไม่ได้ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะในส่วนของการแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องทำตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนญ จะต้องประชามติ ซึ่งเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

แต่ในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลอนุทินต้องระวังกับดักของพรรคการเมืองเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ไม่ว่าจะเป็นการนิรโทษคดี 112 แก้มาตรา 112 หรือการดำเนินการใดๆ ที่กระทบกับสถาบันพระมหากษัตริย์

รัฐบาลต้องทำหน้าที่สำคัญตามรัฐธรรมนูญ คือ การปกป้องคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์

ที่ผ่านมา พรรคส้มได้ฉวยโอกาส ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกนายกฯคนใหม่ วางเงื่อนไขการเมืองเพื่อขี่คอรัฐบาลชุดใหม่ (ไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทยหรือภูมิใจไทย) บอนไซให้รัฐบาลอ่อนแอที่สุด บีบบังคับให้ต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ให้รัฐบาลผลักดันวาระทางการเมืองการแก้รัฐธรรมนูญของตนเอง และยุบสภาใน 4 เดือน

พรรคส้มไม่ได้อยู่ร่วมรัฐบาล แต่จะใช้กลไกในสภา เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในการล้มรัฐบาลได้ในทันที หากไม่ทำตามความต้องการของตน

แต่รัฐบาลอนุทินก็ต้องรักษาระยะห่างกับพรรคเซาะกร่อนบ่อนทำลายให้เหมาะสม

อย่าลืมว่า เงื่อนไขของพรรคส้ม เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน หรือเพื่อผลประโยชน์ของใคร?

พรรคส้มไม่มีคนที่จะเป็นนายกฯในบัญชีรายชื่อของพรรคตนเอง จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะไปเลือกตั้งใหม่

ไม่คำนึงว่าปัญหาของประชาชนและประเทศชาติขณะนี้ รอไม่ได้ และปัญหาเร่งด่วนของชาวบ้านไม่ใช่แก้รัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

พรรคเซาะกร่อนบ่อนทำลายเลือกเดินเกมการเมือง แม้มีโอกาสแสดงฝีมือการบริหาร แต่กลับไม่เข้าร่วมรัฐบาล เพราะกลัวคนไทยจะรู้เช่นเห็นชาติว่าไร้ฝีมือการบริหาร ทำงานจริงไม่เป็นจึงได้แต่บริหารด้วยน้ำลาย ปั่นกระแสในโซเชียลหาคะแนนนิยม

ที่ผ่านมา วาทกรรมของส้มหลายเรื่อง เริ่มถูกตีแผ่คำหลอกลวง คำปลุกปั่น โดยเฉพาะการโจมตีด้อยค่าทำลายกองทัพ ทหารมีไว้ทำไม รบไปก็ไม่ชนะ และการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน

แม้แต่การเคลื่อนไหวชี้นำปลุกปั่นของบุคคลที่มีอำนาจเหนือพรรค โจมตีสถาบัน มวลชนสามนิ้วที่หลงเชื่อกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ถูกดำเนินคดี และถูกทอดทิ้งในที่สุด

ข้อจำกัด 4 เดือนแก้ปัญหาวิกฤตต่างๆ ของประเทศไม่ได้ทั้งหมดแน่ แถมต้องแก้รัฐธรรมนูญ (แต่พรรคส้มจะปั่นกระแสอวดภูมิผ่านโซเชียลต่อไป เพราะไม่ได้ลงมือทำงานเอง)

นี่คือกับดักของพรรคเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ที่รัฐบาลอนุทินจะต้องระมัดระวัง

และต้องเร่งเครื่องงานความมั่นคงของประเทศ เพื่อทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงปลอดภัยในระยะยาวด้วย

4.4 กับระเบิดเศรษฐกิจ

นโยบายรัฐบาลอนุทิน 1 อะไรดีควรเอามาทำต่อ อะไรแย่ต้องยุติเด็ดขาด

แม้รัฐบาลจะมีพันธกรณีต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน แต่มีระยะเวลาทำงานอยู่จริงๆ กว่าจะมีรัฐบาลหลังการเลือกตั้งต้นปีหน้าเข้ามารับงานต่อ ก็เกือบหนึ่งปี

การบริหารราชการแผ่นดินในช่วงนี้ เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม จึงต้องเลือกนโยบายหยิบขึ้นมาขับเคลื่อนที่เกิดผลรูปธรรมทันที

การจะนำ “คนละครึ่ง” กลับมาใช้อีกครั้ง ในสถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้ นับเป็นเรื่องถูกต้อง เหมาะสม

และเป็นการส่งสัญญาณว่า พร้อมจะนำนโยบายรัฐบาลในอดีตที่มีผลดี ใช้ได้จริง นำกลับมาทำ โดยไม่สนใจว่าจะทำให้ใครได้คะแนนนิยมทางการเมือง สะท้อนความใจกว้างของผู้นำรัฐบาลเอง

ประการสำคัญ ปัจจุบัน มีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่หลายโครงการ ที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณาครม.ชุดใหม่ มูลค่าโครงการกว่าล้านล้านบาท

ยกตัวอย่าง

โครงการแลนด์บริดจ์ มีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนไปแล้ว 2 ครั้ง จะเดินหน้าต่อหรือไม่

โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย มีคนลงทะเบียนกว่า 2.5 แสนรายแล้ว ตามแผนเดิมจะประกาศใช้ได้ทุกสีทุกสายภายในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ รัฐบาลอนุทินจะเลิก หรือทำต่อ?

โครงการบ้านเพื่อคนไทย มีผู้ลงทะเบียนในโครงการบ้านเพื่อคนไทยที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น มีจำนวนทั้งสิ้น 126,000 ราย เดิมกำหนดวันจับสลากคัดเลือกผู้ลงทะเบียนโครงการบ้านเพื่อคนไทย วันที่ 18 กันยายน 2568 ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะเลิก หรือเดินต่อ?

โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟสสอง โคราช-หนองคาย เชื่อมต่อไปจีนผ่านลาว เดินมาถึงขั้นตอนจะเปิดประมูลแล้ว มูลค่าโครงการกว่าสามแสนล้านบาท

โครงการรถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) อัยการสูงสุดได้ตอบกลับร่างแก้ไขสัญญาโครงการมาที่ ร.ฟ.ท. เรียบร้อยแล้ว รัฐบาลอนุทินจะตัดสินใจอย่างไร?

โครงการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก ที่ล่าช้า เอกชนเตรียมจะขอเลิกสัญญา และทวงเงินลงทุนคืน จะตัดสินใจอย่างไร? จะกระทบต่อการพัฒนาในพื้นที่อีอีซี

โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เหลืออีก 6 เส้นทางระยะทาง 1,312 กม. หากผ่านความเห็นชอบจากครม. จะเริ่มดำเนินการก่อนใน 3 เส้นทางแรก ได้แก่ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กม. วงเงิน 81,143 ล้านบาท, ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กม. วงเงิน 30,422 ล้านบาท และช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กม. วงเงิน 66,270 ล้านบาท ฯลฯ

รัฐบาลอนุทิน 1 เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มตามกฎหมาย หากโครงการพัฒนาล่าช้าไป ทำให้เสียโอกาสประเทศต่อไปอีก

แต่การเดินหน้าโครงการ จะต้องทำอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล มิให้เกิดข้อครหาความไม่โปร่งใส

มิฉะนั้น จะเป็นกับระเบิดอีกลูกหนึ่ง

สันติสุข มะโรงศรี