เมื่อวานนี้ มีการพูดถึง “โครงการแลนด์บริดจ์” กันอย่างกว้างขวางอีกครั้งหนึ่ง
เพราะว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลอนุทินจะเดินหน้าผลักดันโครงการนี้อย่างแน่นอน
1. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ว่าที่รองนายกฯและรมว.คมนาคม เปิดเผยถึงการเดินหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยง
การขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์)
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย และขอให้ชะลอโครงการดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะศึกษาผลกระทบ EIA ไม่ทัน
นายพิพัฒน์กล่าวว่า ถ้าเราไม่สานต่อในวันนี้ ก็จะมีการชะลอไปเรื่อยๆ และโอกาสคงไม่เกิด ซึ่งตนในฐานะที่เป็นคนใต้ในจังหวัดสงขลา และมีบริษัทเดินเรือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้วิ่งในประเทศไทย ตนก็คิดว่า เรามีความรู้ในระดับหนึ่ง ซึ่งคำว่าแลนด์บริดจ์ คุ้มกับการลงทุนหรือไม่ ก็คงไม่ใช่ประเทศไทยเป็นผู้ลงทุน แต่ต้องมีการเชิญชวนเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพราะวันนี้ประเทศไทยไม่พร้อมในเรื่องการกู้ยืมเงิน แต่มั่นใจว่าเรามีศักยภาพ ในการเชิญชวนให้คนมาใช้ท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง
“เท่าที่ได้ทราบมา การสำรวจหรือการทำ EIA น่าจะทำไปได้ไกลแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ในการตัดสินใจของรัฐบาลของนายอนุทิน ว่าในระยะเวลา 4 เดือน เรื่องของแลนด์บริจด์ เราจะสานต่อหรือไม่ซึ่งนายอนุทินก็มีการให้สัมภาษณ์ไปแล้ว เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการสร้างงานอีกชิ้นหนึ่ง ที่เป็นงานชิ้นใหญ่ หลังจากที่เรามีการ EEC ไปก่อนหน้านี้ และหลังจากนั้นประเทศไทยยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเราพยายามทำโครงการนี้ให้สำเร็จ และที่สำคัญคือการจะทำให้เป็นตัวเชื่อม SEC ซึ่งเรามีความพร้อม และความตั้งใจของนายกรัฐมนตรี ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
...แต่หากเราไม่คิดที่จะริเริ่มอะไร 4 เดือนก็จะผ่านไปแบบเปล่าประโยชน์ ฉะนั้น ขออย่าไปสนใจว่าเป็น 4 เดือนหรือกี่วัน เมื่อเราเข้ามาสิ่งที่ต้องทำ และทำได้มากน้อยขนาดไหน
ถ้าครั้งต่อไปพรรคภูมิใจไทยได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เราจะมาสานต่อนโยบาย แต่หากไม่ได้รับความไว้วางใจก็ขอฝากโครงการที่ดีๆ หรือโครงการที่จะทำให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นให้กับรัฐบาลชุดต่อไป
นโยบายดังกล่าว เป็นความตั้งใจของพรรคภูมิใจไทย และนายกรัฐมนตรี” – ว่าที่ รมว.คมนาคมกล่าว
2. นายกฯ อนุทินประกาศผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ มูลค่า 9.97 แสนล้านบาท
ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เข้าหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ถึงแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจ
นายกฯ อนุทินย้ำว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมวางรากฐานระยะยาวเพื่อความมั่นคง
“สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเราได้ประชุมร่างแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เนื่องจากเวลามีจำกัด ซึ่งแม้ยังไม่ได้ทำงานแต่หลังไมค์ก็ทำทุกอย่าง เพราะสไตล์ของพวกเราคือต้องทำงานเร็ว นโยบายของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นนั้นมุ่งเน้นแก้ไขเศรษฐกิจระยะสั้น วางรากฐานเพื่อการต่อยอดให้มีความมั่นคงต่อไปในระยะยาว”
เมื่อมีคำถามถึงการชะลอออกโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นข้อเสนอของกรรมาธิการ สว.
นายอนุทินตอบว่า ต้องขอฟังความเห็นของทุกฝ่ายแต่โครงการนี้ ไม่อยากให้มองแต่มิติของการลงทุนว่าคุ้มค่าอย่างเดียวหรือไม่ เพราะเราต้องมองไปถึงอนาคตและไปถึงสิ่งที่จะเจริญเติบโตในประเทศไทยหลังจากมีโครงการนี้ ต้องมองในหลายมิติรวมกัน เราอยู่ในภูมิศาสตร์การเมืองที่ได้เปรียบอยู่แล้ว เราต้องใช้ความได้เปรียบตรงนี้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศของเรา เราอยู่ตรงกลาง เป็นไข่แดงของอาเซียน เรามีโอกาสมากมายที่จะใช้ข้อได้เปรียบเหล่านี้ ขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างมากมาย
3. โครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) หลังจากหนี้ จะเริ่มร่าง TOR เตรียมเปิดประมูลและสร้างเฟสแรกปี’69 วางแผนเปิดปี’73
รายละเอียดเบื้องต้น ดังนี้
โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (Land Bridge) งบลงทุนในโครงการรวมกว่า 9.9 แสนล้านบาท
โครงการแลนด์บริดจ์ จะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย
ระยะที่ 1/1 มีการลงทุนประมาณ 6.17 แสนล้านบาท ประกอบด้วย
- สร้างท่าเรือฝั่งระนอง รองรับปริมาณตู้สินค้า 4 ล้าน TEUs
- สร้างท่าเรือฝั่งชุมพร รองรับประมาณตู้สินค้า 4 ล้าน TEUs
- สร้างทางรถไฟ ทางบริการ มอเตอร์เวย์ขนาด 6 ช่องจราจร และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ
- ก่อสร้างพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO)
ตามแผนประมูลและก่อสร้างปี 2569 เปิดให้บริการปี 2573
ระยะที่ 1/2 มีการลงทุนประมาณ 1.74 แสนล้านบาท ประกอบด้วย
- ขยายท่าเรือฝั่งระนอง ให้รองรับปริมาณตู้สินค้า 8 ล้าน TEUs
- ขยายท่าเรือฝั่งชุมพร ให้รองรับประมาณตู้สินค้า 8 ล้าน TEUs
ตามแผนเริ่มก่อสร้างปี 2575 และเสร็จภายในปี 2577
ระยะที่ 1/3 มีการลงทุนประมาณ 2.05 แสนล้านบาท ประกอบด้วย
- ขยายท่าเรือฝั่งระนอง ให้รองรับปริมาณตู้สินค้า 14 ล้าน TEUs
- ขยายท่าเรือฝั่งชุมพร ให้รองรับประมาณตู้สินค้า 14 ล้าน TEUs
ตามแผนระยะดำเนินการในช่วงปี 2578-2596
ระยะที่ 2 (รอประเมินงบลงทุนในอนาคต)
- ขยายท่าเรือฝั่งระนอง ให้รองรับปริมาณตู้สินค้า 20 ล้าน TEUs
- ขยายท่าเรือฝั่งชุมพร ให้รองรับประมาณตู้สินค้า 20 ล้าน TEUs
ระยะดำเนินการในช่วงปี 2597-2622
ผลการศึกษาโครงการระบุว่า จะช่วยเพิ่ม GDP ให้ประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 1.5%
มีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR)17.43%
มีระยะเวลาคืนทุนปีที่ 24
และเกิดการจ้างงาน 280,000 อัตรา
4. ข้อมูลอีกด้านของโครงการ
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ตั้งข้อสังเกตว่า โครงการขนาดใหญ่ระดับ “อภิมหาโปรเจกท์” โดยส่วนใหญ่มักจะล้มเหลว ไม่ว่าจะสร้างไม่สำเร็จ สร้างช้ากว่ากำหนด หรือใช้งบประมาณบานปลายกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
สาเหตุหลักๆ มักมาจาก 2 ประการ คือ “การมองโลกในแง่ดีเกินจริง” ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ที่อยากเห็นโครงการที่มีประโยชน์เกิดขึ้น และอีกสาเหตุคือ “ผู้มีอำนาจใช้พลังบิดเบือนตัวเลขให้สวยงาม” ทั้งที่รู้ว่าโครงการนั้นอาจไม่ดีจริง
หัวใจสำคัญของการทำให้โครงการใหญ่สำเร็จคือ “การวางแผนที่ดี” ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) อย่างรอบคอบ เพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและความคุ้มค่าก่อนจะนำไปสู่การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ ต่อไป
สิ่งที่น่าตกใจ คือ ผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการแลนด์บริดจ์ที่รัฐบาลมีอยู่ มีความแตกต่างกันอย่างมาก
ผลการศึกษาของกระทรวงคมนาคม ซึ่งคณะรัฐมนตรีใช้ในการตัดสินใจ เห็นว่าโครงการจะมีมูลค่าปัจจุบันเป็นบวก (มีกำไร) และให้ผลตอบแทนทั้งทางการเงินและเศรษฐกิจที่ดีเยี่ยม
แต่ ผลการศึกษาที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)จ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษามา กลับมองโลกในแง่ร้ายกว่ามาก โดยระบุว่าโครงการนี้จะ“ขาดทุน” และต่อให้รวมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ แล้ว ก็ยังให้ผลตอบแทนไม่สูงนัก (เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์) จึงไม่ควรดำเนินการ และควรหาวิธีอื่นแทน
5. ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ไว้น่าสนใจ
ว่าด้วยเรื่อง “แลนด์บริดจ์ “ระนอง-ชุมพร” หรือช่องแคบ “มะละกา” ประตูสู่เอเชีย” ระบุว่า
...คำถามว่า ถ้าแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร เกิดขึ้นจริง จะช่วงชิงประตูสู่เอเชียจากช่องแคบมะละกาได้หรือไม่ ?
ช่องแคบมะละกา ตั้งอยู่ระหว่างประเทศมาเลเซียและประเทศสิงคโปร์กับประเทศอินโดนีเซีย (เกาะสุมาตรา) เป็นเส้นทางการเดินเรือที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่นมากแห่งหนึ่งของโลก
ท่าเรือสิงคโปร์มีบทบาทสำคัญในการรองรับเรือที่แล่นผ่านช่องแคบมะละกา โดยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมานานหลายปี ไม่ว่าจะพิจารณาจากน้ำหนักสินค้าทุกประเภทหรือจากปริมาณคอนเทนเนอร์ก็ตาม
ปัจจัยหลักที่จูงใจให้เรือมาใช้บริการที่ท่าเรือสิงคโปร์จำนวนมากก็คือ มีทำเลที่ดีทำให้เกิดเป็นศูนย์รวมของเส้นทางเดินเรือที่สำคัญของโลกกว่า 200 สาย ให้บริการเชื่อมโยงท่าเรือกว่า 600 แห่งทั่วโลก
ปัจจัยอื่นที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพของท่าเรือสิงคโปร์ก็คือมีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากร มีคุณภาพการให้บริการที่ดี และมีการบริหารงานที่โปร่งใส
คาดกันว่าถ้ามีแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร จะช่วยร่นระยะทางและระยะเวลาการเดินเรือระหว่างฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของไทยได้เมื่อเทียบกับการเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกาหลายคนเห็นด้วยว่าระยะทางนั้นสั้นกว่า แต่ไม่แน่ใจว่าระยะเวลาจะสั้นกว่าหรือไม่
ไม่แน่ใจก็เพราะว่าจะต้องมีการขนถ่ายสินค้าหรือน้ำมันจากเรือสู่รถไฟ รถบรรทุก หรือท่อส่งน้ำมันที่ฝั่งทะเลด้านหนึ่ง แล้วขนสินค้าหรือน้ำมันด้วยรถไฟ รถบรรทุก หรือท่อส่งน้ำมันไปยังอีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นก็ขนสินค้าหรือน้ำมันขึ้นเรือเพื่อขนไปส่งยังจุดหมายปลายทางต่อไป
จึงน่าห่วงว่าจะประหยัดเวลาได้จริงหรือ ?
ลองคิดดูว่า ถ้ามีเรือบรรทุกน้ำมันขนาด 100,000 ตัน จะใช้เวลานานเพียงใดที่จะสูบน้ำมันจากเรือลงสู่ท่อ หรือถ้ามีเรือบรรทุกสินค้าขนาด 50,000 ตัน จะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะขนสินค้าจากเรือสู่รถ และจะต้องใช้รถบรรทุกจำนวนมากขนาดไหน
ข้อเป็นห่วงนี้ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องชี้แจงให้กระจ่าง
เวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่จะจูงใจให้เรือมาใช้บริการ เพราะเวลาหมายถึงค่าใช้จ่าย ไม่ว่าเวลาที่แล่นเรืออยู่ในทะเลหรือเวลาที่จอดเทียบท่า ล้วนต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งนั้น
ถ้าแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร สามารถประหยัดเวลาได้ ก็จะสามารถจูงใจให้เรือมาใช้บริการแทนการแล่นผ่านช่องแคบมะละกา
แต่ถ้าแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร ไม่ทำให้ประหยัดเวลาได้ ก็ยากที่จะจูงใจให้เรือมาใช้บริการ
คำตอบต่อข้อกังวลนี้ ติดตามดูได้จากผลตอบรับของเอกชนว่าสนใจจะมาลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร หรือไม่? ถ้าลงทุนแล้วได้กำไร เขาก็จะลงทุน นั่นหมายความว่าแลนด์บริดจ์ระนอง-ชุมพร จะช่วยร่นระยะเวลาได้ ทำให้มีเรือมาใช้บริการในปริมาณที่มากพอที่จะทำกำไรได้
แต่ถ้าลงทุนแล้วขาดทุน เขาก็จะไม่ลงทุน นั่นหมายความว่าแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพรไม่สามารถจูงใจให้เรือมาใช้บริการแทนช่องแคบมะละกาได้
ด้วยเหตุนี้ ปริมาณเรือที่จะมาใช้บริการจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจที่จะลงทุนในโครงการนี้ของเอกชน ซึ่งเขาจะต้องคาดการณ์ว่าจะมีเรือมาใช้แลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร มากน้อยแค่ไหนนั้น โดยคำนึงถึงประเภทของสินค้าที่เรือจะขนมา และจุดต้นทางและปลายทางของสินค้า เช่น
(1) เรือบรรทุกน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางสู่ประเทศญี่ปุ่น จะเปลี่ยนเส้นทางจากช่องแคบมะละกามาใช้แลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร มากน้อยเพียงใด
(2) เรือบรรทุกคอนเทนเนอร์จากยุโรป (ท่าเรือรอตเตอร์ดัม) สู่ญี่ปุ่น จะเปลี่ยนเส้นทางจากช่องแคบมะละกา มาใช้แลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร มากน้อยเพียงใด
(3) เรือบรรทุกแร่เหล็กจากอินเดียสู่ตะวันออกไกลจะเปลี่ยนมาใช้แลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร หรือไม่
(4) เรือบรรทุกถ่านหินจากแอฟริกาสู่ตะวันออกไกลจะเปลี่ยนมาใช้แลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร หรือไม่
วันนี้ประตูสู่เอเชียทางน้ำยังอยู่ที่ช่องแคบมะละกา แต่ถ้าโครงการแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร เป็นรูปธรรมขึ้นมาคงต้องรอดูกันว่าประตูสู่เอเชียจะเปลี่ยนไปหรือไม่
ถึงวันนั้นคนไทยจะได้ไชโย !”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี