วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
คนไทยในประเทศนี้ส่วนใหญ่ยังรู้สึกเจ็บใจเขมร มันก่อสงครามรุกรานไทยเราก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องจบแบบ “เกี๊ยเซียะ”ยอมๆ กันไป โดยมีชาติที่สามที่สี่เข้ามาตีกินกับเลือดเนื้อและชีวิตของพลเรือนไทยและทหารไทย ที่เสียชีวิตบาดเจ็บและพิการ ซึ่งคิดดูแล้วมันง่ายเกินไป
คนไทยที่เป็นราษฎรผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ต้องรับเคราะห์กรรมที่เขมรเป็นผู้ก่อสงคราม ซึ่งมีทั้งเด็กและผู้หญิงรวมอยู่ด้วย เสียชีวิตไป 16 ศพ บาดเจ็บอีก 38 คน และทหารเสียชีวิตไป 15 นาย พร้อมทั้งบาดเจ็บอีก 192 นาย ในจำนวนนี้มีพิการขาขาด 6 นาย และนอกจากนั้น มีโรงพยาบาลทั่วไปเสียหาย 20 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เสียหาย 144 แห่ง บ้านเรือนประชาชนเสียหาย705 หลัง และโรงเรียนต้องปิดการสอนช่วงเกิดสงครามรุกรานระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568 จำนวน 914 โรงเรียนใน 7 จังหวัด
โดยที่การลงนาม“ปฏิญญาสันติภาพ”ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และ“ฮุน มาเนต”นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นั้น สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับ“อันวาร์ อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ต่างก็ยิ้มแก้มบาน ในฐานะผู้ทำให้สันติภาพจอมปลอมเกิดขึ้นได้
ขณะที่สองพ่อลูกตระกูลฮุนของเขมร“ฮุนเซน-ฮุน มาเนต” ผู้ซึ่งควรจะต้องถูกนำตัวไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในฐานะอาชญากรสงคราม ผู้ก่อสงครามรุกรานไทยอย่างไร้มนุษยธรรม อันส่งผลทำให้พลเรือนไทยผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บล้มตายถึง 54 คน ปรากฏว่ารอดตัวไปได้อย่างลอยนวลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากการก่อสงครามในครั้งนี้
ส่วน สส.ไทย คือ สส.จากพรรคประชาชน ที่เป็นฝ่ายค้าน ก็ทำตัวเป็นฝูงอีแร้งลงรุมทึ้งจิกกินกับซากศพและสงครามที่สิ้นสุดลงไปแล้ว ด้วยการกล่าวหาตั้งแง่กับกลุ่มพลังจิตอาสาคนไทยด้วยกันเอง เพื่อมีเจตนาจะเซาะกร่อนบ่อนทำลายกองทัพที่ตนมีอคติ และมุ่งหวังจะทำลายอยู่แล้วเป็นประการสำคัญ โดยระหว่างที่มีสงคราม บรรดา สส.จากพรรคการเมืองนี้กลับนิ่งเฉย โดยมีเสียงจากชาวบ้านถามว่า“ไปมุดหัวหลบอยู่ที่ไหน”
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาได้เผยแพร่ภาพการถอนกำลังอาวุธจำนวนมากจากที่ถูกนำมาตั้งประชิดแดนไทย ยิ่งตอกย้ำว่ากัมพูชาหวังจะก่อสงครามใหญ่กับไทยอย่างยืดเยื้อ หากไม่มีปัญหาภายในของตนทั้งจากการขาดอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดจนยุทธปัจจัยรวมทั้งข้าวปลาอาหาร ที่ขาดการส่งกำลังบำรุง เนื่องจากกัมพูชามีอยู่อย่างจำกัด ประกอบกับแสนยานุภาพในการรบของกองทัพไทยก็มีศักยภาพสูงกว่ากัมพูชาในทุกๆ ด้าน เชื่อกันว่า กัมพูชาก็คงจะไม่ยอมยุติสงครามด้วยการวิ่งไปร้องขอให้“โดนัลด์ ทรัมป์”ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามาหย่าศึก โดยมี“อันวาร์ อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่เป็นสมุนนายหน้าในฐานะประธานอาเซียนเป็นผู้สนองรับ
ต้องจับตาดูกันต่อไป ว่ากัมพูชาจะเล่นอะไรพลิกแพลงแบบสุนัขลอบกัดหรือไม่ จากข้อตกลงเรื่องการถอนอาวุธหนักทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา รวมทั้งหมด 3 ประเภทที่แบ่งเป็น 3 เฟส ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2568 โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) จากทั้งฝั่งไทยและกัมพูชาเข้าร่วมสังเกตการณ์
คือเฟสแรกระหว่างวันที่ 1 - 12 พฤศจิกายน 2568ตามที่กัมพูชาได้เผยแพร่ภาพเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นการถอนอาวุธประเภท A หมายถึงระบบจรวดหลายลำกล้องที่มีตั้งแต่ 2 ลำกล้องขึ้นไปซึ่งตามภาพที่กองทัพกัมพูชาเผยแพร่นั้นเป็นการถอนปืนใหญ่อัตตาจร“SH-1”ขนาด 155 มม. พร้อมด้วยรถยิงจรวดหลายลำกล้อง“Type 90” และจรวดหลายลำกล้อง“Type 81” ขนาด 122 มม.ที่ผลิตในจีน และจรวดหลายลำกล้อง “BM-21”ขนาด 122 มม.ของรัสเซีย ออกจากแนวหน้าในฝั่งจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา ตรงข้ามจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ของไทย รวมทั้งจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา ตรงข้ามจังหวัดศรีสะเกษ และอุบลราชธานีของไทย เพื่อนำกลับไปยังฐานที่ตั้งเดิม
เฟสที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน-12ธันวาคม 2568 จะเป็นการถอนอาวุธประเภท B หมายถึงระบบปืนใหญ่ทุกประเภท ประกอบด้วยระบบปืนใหญ่ลากจูงและปืนใหญ่อัตตาจร รวมถึงปืนใหญ่ขนาด 105 มม. 122 มม. 130 มม. 152 มม.และ 155 มม.
และเฟสที่ 3 ระหว่างวันที่ 13-31 ธันวาคม 2568 จะเป็นการถอนอาวุธประเภท C คือ รถหุ้มเกราะ โดยเฉพาะรถถังที่ออกแบบมาเพื่อให้มีการเคลื่อนที่ ที่ได้รับการปกป้องอำนาจการยิงที่เหนือกว่าและกำลังสนับสนุนโดยตรง ซึ่งรถถังประเภทนี้เป็นยานรบภาคพื้นดินที่มีอำนาจการยิงและการป้องกันตัวสูง โดยกัมพูชาใช้รถถัง “T-54/T-55”ของรัสเซีย และ “Type 59”ของจีน
อย่างไรก็ตาม เรื่องการถอนกำลังอาวุธได้มีการขยับ“เฟส 1” กันไปแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนตามที่เป็นข่าว ยังเหลืออีก 3 เรื่อง ที่จะต้องทำพร้อมกันไปตาม“ปฏิญญาสันติภาพกรุงกัวลาลัมเปอร์” คือการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล, การปราบปราม“สแกมเมอร์” หรือ“Cyber Scam” และการจัดการพื้นที่ที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์ จากหลักเขต ที่ 42 ถึง 47 ช่วงบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ฝ่ายกัมพูชาเพิ่งจะยินยอมร่วมมือกับไทยเป็นครั้งแรก จากการลงนามในปฏิญญาฉบับนี้
ในข้อตกลงทั้ง 4 ข้อนั้น ถ้ากัมพูชาซึ่งเปรียบเสมือนอสรพิษไม่เบี้ยว ก็จะนำไปสู่สันติภาพที่ถาวรและเป็นจริงได้ จากนั้นฝ่ายไทยก็จะยอมเปิดด้านชายแดน“ไทย-กัมพูชา”ให้กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง และการเปิดด่านชายแดนถ้าหากจะมีขึ้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันชัดเจนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังเดินทางกลับมาจากการประชุมเอเปกที่ประเทศเกาหลีใต้ ว่า
“ขอยืนยันอีกครั้งเรื่องการเปิดด่านว่าถ้ารัฐบาลจะเปิดด่าน ต้องขอประชาชนก่อน จะได้ไม่ต้องพูดกันอีก และคิดว่ามาถึงจุดที่รัฐบาลต้องฟังประชาชนในเรื่องการเปิดด่าน และเราจะไม่เปิดด่านจนกว่าจะมั่นใจว่า ภัยต่อความมั่นคงลดลงไป จนเราวางใจ และควบคุมได้”
จะอะไรก็ตามแต่ 1 เดือนเต็มที่รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากจะต้องมาตามล้างตามเช็ดสิ่งปฏิกูลที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยถ่ายเรี่ยราดไว้ในช่วง 2 ปีที่บริหารประเทศแล้ว การทำงานเพียงแค่ 1 เดือน ยังเห็นผลงานมากกว่า 2 ปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นายกรัฐมนตรี 2 คนต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากตำแหน่ง โดยเฉพาะล่าสุดจากการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกครั้งที่ 32ที่เพิ่งจะสิ้นสุดลง นายอนุทินได้รับเสียงชื่นชมสดุดีจากผู้นำทุกประเทศที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้อย่างถ้วนทั่ว และประเทศไทยก็กลับมาเป็นประเทศที่เนื้อหอมอีกครั้ง ซึ่งใครก็อยากจะมาลงทุนและทำการค้าด้วย
ฝากไว้เป็นการบ้านให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมีเวลาอันจำกัดในฐานะ“รัฐบาลหนูชั่วคราว”ต้องทำให้สะเด็ดน้ำก่อนยุบสภาฯเลือกตั้งใหม่ นั่นก็คือ ล้างขบวนการ“สแกมเมอร์”เถื่อนเทาที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี สส. หรือเจ้าพ่อมาเฟียที่ไหน ให้สิ้นซากแบบถอนรากถอนโคน
คนไทยทั้งประเทศเขาอยากรู้ว่า นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“หนู-อนุทิน ชาญวีรกูล”จะกล้าปราบจริงหรือไม่ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล

มือปืนโมโหถูกทวงหนี้‘ค่าเช่านา’ ลูกซองสั้นลั่นกลางบ้าน เจ็บสาหัส 2 ราย
ขอบคุณกำลังใจ! 'หนุ่ม กรรชัย'เล่าอาการป่วย แถมฝากถึงคนสาปแช่ง
รับมือฝนตกค่ำนี้! 'ปภ.สมุทรปราการ'เตรียมความพร้อมระบายน้ำ
'พล.ต.ณัฏฐ์'เปิด 2 ทางทวงคืน'ปราสาทตาควาย' ลั่นยังไงก็ต้องกลับมาเป็นของไทย
สาวร้านเครื่องสำอางยอมรับคิด VAT เพิ่มในโครงการคนละครึ่งอ้างยื่นภาษีถูกต้อง พร้อมให้ตรวจสอบ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี