วันศุกร์ ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“กัมพูชา”กลายเป็นชาติโกหกกะล่อนปลิ้นปล้อนกลับกลอกตลบตะแลง เพราะมีทรราชที่ชื่อ “ฮุนเซน” เป็นผู้นำประเทศตัวจริง หลังจากผูกขาดครองอำนาจในกัมพูชามายาวนานถึง 40 ปี นับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาในปี 2528 และแม้วันนี้“ฮุน มาเนต” จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นเพียงแค่ “หุ่นเชิด” ที่ “ฮุนเซน” ผู้เป็นบิดาเป็นคนชักใย
โชคร้ายของประเทศไทย ที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชา โดยที่ประเทศนี้มีคนอย่าง “ฮุนเซน” เป็นผู้นำสูงสุด ซึ่งไม่ต่างจากเรามีเพื่อนบ้านที่มีศีลไม่เสมอกัน และจำต้องทนอยู่กับเพื่อนบ้านสถุลไร้สกุลรุนชาติ ที่หาเรื่องก่อกวนให้เราไม่เป็นปกติสุขอยู่ทุกเวลานาที
โดยเหตุแห่งความขัดแย้งจนบานปลายกลายเป็นข้อพิพาทที่จะนำไปสู่สงครามใหญ่ ระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” เช่นเดียวกับ สงครามระหว่าง “รัสเซีย-ยูเครน” และสงครามในฉนวนกาซา ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นใน พ.ศ.นี้ แต่ก็ยังเกิดขึ้นมาจนได้นั้น ก็เพราะความขัดแย้งอันเนื่องมาจากผลประโยชน์ทับซ้อนที่ไม่ลงตัวระหว่าง “ตระกูลชินวัตร”ของไทย กับ “ตระกูลฮุนแห่งเขมร” เป็นปฐมเหตุ
แต่ถึงกระนั้น ประเทศไทยก็ยังโชคดี ที่วันนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้ชักใยได้พ้นจากอำนาจไปแล้ว หาไม่เช่นนั้น ประชาชนคนไทยและประเทศไทยจะยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจไว้วางใจรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของ “ตระกูลชินวัตร” ได้ ว่าจะไปสมยอมและแอบตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ส่วนตนอะไรกับ “ฮุนเซน” โดยที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ
เหมือนกับที่ “แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาวของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ใช้ตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย โทรศัพท์เจรจากับ “ฮุนเซน” ด้วยประโยชน์ส่วนตน ตามที่ปรากฏเสียงใน “คลิปอัปยศ” อันเป็นเหตุให้ “แพทองธาร” ต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องพ้นจากอำนาจ
“แพทองธาร ชินวัตร” พูดทางโทรศัพท์สายตรงกับ “ฮุนเซน” เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ผ่าน “เคลียง ฮวด” ที่เป็นล่ามคนกลาง ว่าอย่างนี้ “ไม่อยากให้ลุงไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา พอไปฝั่งตรงข้ามอย่างพวกแม่ทัพภาคที่ 2 (พล.ท.บุญสิน พาดกลาง) เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย พอไปฟังเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านไม่ชอบใจหรือโกรธ เพราะจริงๆ ไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ”
และอีกหนึ่งย่อหน้าที่ “แพทองธาร ชินวัตร” นำผลประโยชน์ของชาติไปต่อรองกับ “ฮุนเซน” เพื่อผลประโยชน์ของตน “บอกให้ท่านฮุนเซน เห็นใจหลานหน่อย (พูดผ่านล่าม) เพราะตอนนี้คนในประเทศไทยเขาไล่เราไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไรบอกมาได้เลยค่ะเดี๋ยวจัดการให้” และ “ฮุนเซน” ได้ตอบกลับผ่านล่ามว่า อยากให้ไทยถอนเรื่องการปิดด่านชายแดนกลับมาสู่ภาวะปกติเหมือนก่อนเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ระหว่างหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี กับทหารกัมพูชาที่ลักลอบเข้ามาขุดสนามเพลาะในดินแดนไทย ที่บริเวณช่องบก จังหวัดสุรินทร์ เป็นผลทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
การเจรจาระหว่าง “แพทองธาร ชินวัตร” กับ “ฮุนเซน”ที่นำผลประโยชน์ของชาติไปต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของตนนั้น ไม่ใช่ข้อกล่าวหาลอยๆ แต่เป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 และทำให้ “แพทองธาร”ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า “ผู้ถูกร้อง (แพทองธาร) ทำให้สาธารณชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า จะกระทำการใดๆ อันเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามากกว่าการคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นเหตุให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อความเป็นนายกฯ ของประเทศไทย ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่”
จึงนับว่าวันนี้ในความโชคร้ายของประเทศไทย ที่มี“เขมรสันดานอสรพิษ” เป็นประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีพรมแดนติดกัน แต่ก็ยังโชคดีที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยของ “ตระกูลชินวัตร” เพราะสถานการณ์ระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” ในนาทีนี้ ต้องถือว่าแหลมคม จวนเจียนใกล้จะ “ระเบิด” เต็มทน เพราะกัมพูชาเดินหน้ายั่วยุไทยเพื่อจะทำให้เกิดสงครามให้ได้
ทหารไทยต้อง “เสียขา” เป็นคนที่ 7 และบาดเจ็บอีก 3 นายจากการเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาที่บริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และทำให้ไทยต้องฉีกทิ้ง “ปฏิญญาสันติภาพจอมปลอม”พร้อมทั้งประณามและประท้วงให้นานาอารยประเทศรับทราบ ตลอดจนเรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบ เพราะฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงที่จะนำไปสู่สันติภาพตาม “ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์” ฉบับนี้ จากการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในดินแดนไทย ซึ่งแทนที่กัมพูชาจะยอมรับ กลับยิ่งแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ด้วยการออกแถลงการณ์ปฏิเสธและโกหกบิดเบือนว่า “เป็นทุ่นระเบิดเก่า” พร้อมทั้งยืนยันว่า กัมพูชาปฏิบัติตาม “อนุสัญญาออตตาวา” และตามหลักการแห่งพันธกรณีของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์และสม่ำเสมอ
ไม่เพียงแต่เท่านั้น เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมากัมพูชาก็ยังสร้าง “แผนการลอบกัด” เพื่อจะใส่ร้ายป้ายสีประเทศไทยต่อประชาคมโลก ด้วยการใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทย ในพื้นที่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และได้ประกาศข่าวเผยแพร่ออกไปอย่างครึกโครมว่า ไทยเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อน ทําให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ชาวกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ทั้งๆ ที่โดยข้อเท็จจริง ฝ่ายไทยได้เข้าแนวกำบังหลังจากกัมพูชาเปิดฉากยิง และได้ทำการยิงแจ้งเตือนไปยังจุดที่มีการยิงเข้ามาตามกฎการใช้กำลัง
จากนั้นในวันรุ่งขึ้น คือเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน เมื่อวานนี้ ก็เป็นไปตามแผนการชั่วร้ายของกัมพูชา โดย “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประณามว่าไทยใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนกัมพูชาที่บริสุทธิ์ในหมู่บ้านเปรยจัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ และว่าการกระทํานี้ขัดต่อจิตวิญญาณด้านมนุษยธรรมและการแก้ไขพรมแดนอย่างสันติพร้อมทั้งเรียกร้องให้ประเทศไทยหยุดใช้กําลังต่อพลเรือนกัมพูชาที่บริสุทธิ์ในหมู่บ้านเปรยจันทันที
“ฮุน มาเนต” ผู้สืบสันดาน “ฮุนเซน” และเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการก่อสงครามรุกรานไทย ประกาศผ่านเฟซบุ๊กแบบ “ซาตานในคราบนักบุญ” ว่า “ผมขอเรียกร้องให้มีการเปิดการสอบสวนอย่างเป็นอิสระในกรณีนี้ และขอให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อค้นหาความจริง หาผู้ที่ต้องรับผิดชอบ และมอบความเป็นธรรมให้กับพลเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการยิงครั้งนี้”
บรรทัดนี้ก็คงต้องถาม “2 พ่อลูกตระกูลฮุน” คือ “ฮุนเซน-ฮุน มาเนต” ว่า “สงคราม 5 วัน” ที่กัมพูชาเป็นผู้ก่อ มีพลเรือนไทยที่บริสุทธิ์รวมทั้งเด็กและผู้หญิงเสียชีวิตไป 18 ราย บาดเจ็บ 39 คน รวมทั้งทหารไทยเสียชีวิต16 นาย บาดเจ็บ 233 นาย ซึ่งในจำนวนนี้ขาขาดไป 7 นายนั้นกัมพูชาไม่คิดจะถามหาความรับผิดชอบ และมอบความเป็นธรรมให้แก่ผู้สูญเสียและญาติพี่น้องของผู้สูญเสียที่เป็นคนไทยบ้างเลยหรือ
เห็นทีว่าความเป็นธรรมที่ประเทศไทยควรจะได้รับจากกัมพูชา คงต้องแลกมาด้วยการ “เผด็จศึก” เป็นแน่แท้ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล

สิ้นสุดทางสงสัย! 'ทนายไพศาล'ไขปมเข้าร่วม ปชป. เชื่อมั่น 'อภิสิทธิ์' คนดีมีสัจจะวาจา
'ธรรมนัส'ดันสินค้าเกษตรไทยโกอินเตอร์ ลงนามพิธีสารไทย-จีน เปิดตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์จากผึ้ง
แฉผู้พันเขมรสั่งวาง'ทุ่นระเบิด PMN-2' พื้นที่ช่องบก ก่อนทหารไทยเหยียบ (คลิป)
ฝืดคอ!!! 'ช้างศึก'หืดทุบ'ลอดช่อง' 3-2
'สันธนะ'ปูด'พล.ต.อ.'โทรมาต่อรองเรื่องหมายจับ ลั่นไม่กังวลถ้าต้องเข้าเรือนจำ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี