วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตประธานสภาฯอย่างละสองสมัย นักการเมืองสมถะทำตัวง่ายๆ เดินทางกลับบ้านที่จังหวัดตรังด้วยรถยนต์นั่งส่วนตัว
นายชวนแวะทำธุระที่ อ.ละแม ผู้เขียน ถือโอกาสไปพบท่านด้วยหวังว่าจะได้ข้อมูลจากนักการเมืองอาวุโสมาเขียนบทความ แต่นายชวนคือนายชวน ที่ถ่อมตัวประเมินสถานการณ์จากความเป็นจริง คือไม่สามารถบอกได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้ สส.มากน้อยแค่ไหนจากการเลือกตั้งที่จะมาถึง
แต่หากประเมินจากกระแสหลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค และมีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ กระแสตอบรับจากสังคมดีขึ้นมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ นักการเมืองหน้าใหม่สนใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคและแสดงเจตจำนงลงสมัคร สส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ มากขึ้นกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนมาก ซึ่งทำให้มั่นใจว่าจะได้สส.บัญชีรายชื่อมากกว่าการเลือกตั้งปี 2566
เห็นด้วยกับนายชวนว่า อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ปลุกกระแสความนิยมนำ ปชป.กลับมาสู่สปอร์ตไลน์การเมืองอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นใหม่วัย Gen Z คือวัย 25 ถึง 40 ปี จากที่พูดคุยพบปะกับผู้คน และติดตามข่าวสารการเมืองจากสื่อกระแสหลัก และสื่อกระแสรอง ตลอดถึงสื่อสังคมออนไลน์
โดยส่วนตัวแฟนคลับจากหลายจังหวัดโทรศัพท์ ไลน์ SMS มาแลกเปลี่ยนและขอความคิดเห็นเรื่องลงสมัคร สส.ในนาม พรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ จากจังหวัดตาก พิษณุโลก ขอนแก่น ชุมพร และ เชียงใหม่
แฟนคลับที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวและไม่เคยพบหน้าค่าตา เพียงเป็นเพื่อนผู้ติดตามบทความจากแนวหน้า และเฟซบุ๊กส่วนตัว จนทำให้เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กไว้ใจ และปรึกษาได้ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด เพียงแต่ศรัทธา นายชวน หลีกภัย และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ทำการเมืองสุจริตมีหลักการ มีอุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เหมือนกัน
วันที่ 18 พฤศจิกายน แฟนคลับจากเชียงใหม่โทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องลูกสาววัย 36 ปี มีความประสงค์จะสมัคร สส. ปชป. ขอความคิดเห็นว่าเป็นอย่างไร ฟังจากน้ำเสียงของมารดา เชื่อว่าลูกสาวซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีได้ตัดสินใจแล้ว เพราะผู้เป็นมารดาบอกว่าลูกสาวจะลงไปพบคุณกรณ์กับหัวหน้าอภิสิทธิ์วันพุธที่ 19 พฤศจิกายนนี้ เรามีหน้าที่เพียงแต่บอกมารดาเธอว่า สมัครสส.เป็นงานหนัก ต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมตั้งแต่นาทีแรก
มารดาเธอบอกเราว่า ลูกสาวเคยพบนายชวนที่สนามบิน และเกิดความศรัทธาเมื่อพบว่า นายชวนเป็นคนฉลาดและเป็นกันเองมาก ถามถึงบิดามารดาและอาชีพของเธอ ลูกสาวไปเล่าให้
มารดาฟังว่า เคยได้ยินคนพูดถึงนายชวน มาเจอด้วยตัวเองเลยเกิดศรัทธาอยากทำงานพรรคเดียวกับนายชวน
ส่วนมารดาบังเอิญเห็นเราโพสต์ข้อความว่า นายชวน “กังวล เรื่องเงินสีเทา เงินสีดำจากสแกมเมอร์ เข้ามามีอิทธิพลทางการเมือง” ผู้เป็นมารดาเลยโทรศัพท์มาปรึกษา
จากน้ำเสียงของผู้ที่โทรฯมาบ่งชี้ว่า ปัจจุบันคนไทยผู้ตื่นรู้ส่วนใหญ่กังวลเรื่องเงินสีเทา เงินสีดำจากการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการพนันออนไซต์ ออนไลน์ เงินบาปจากสแกมเมอร์และค้ายาเสพติด เข้ามามีอิทธิพลในแวดวงการเมืองมากขึ้น
เราบอกมารดาผู้ประสงค์สมัคร สส.ประชาธิปัตย์ ไปว่า จากที่นายชวนพูดให้ฟังในระยะเวลาสั้นๆ ท่านกล่าวว่า “เวลานี้เงินสีเทาจากสแกมเมอร์เข้ามามีอิทธิพลต่อการย้ายค่ายของนักการเมือง”
นายชวนไม่ได้เอ่ยถึงพรรคไหน หรือนักการเมืองคนใด ที่ย้ายค่ายเพราะเงินจากสแกมเมอร์ นายชวนเพียงแต่พูด กว้างๆ ว่า คนเหล่านั้นไม่คิดบ้างหรือว่า สแกมเมอร์อยู่ได้ไม่นานก็ถูกจัดการตามกฎหมาย
ผู้ที่โทรศัพท์มาคุยก็เห็นด้วยกับเราว่า ผู้ใช้เงินบาปมาซื้อเสียงเข้าสภาไม่นาน จะถูกฉีกหน้ากากออกมาและกรรมในยุค 5G มันตามทันปาน Boomerange (บูมเมอแรง)
วางหูโทรศัพท์จากผู้ที่โทรมาปรึกษา หันมาอ่าน บันทึกหน้า 4 ของไทยโพสต์ระบุว่า..“นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว” สส.สงขลา พรรคกล้าธรรม หลังถูกลากโยงกับธุรกิจสีเทา และถูก ปปง.อายัดทรัพย์กว่า 159 ล้านบาท ท่ามกลางกระแสสังคมที่กดดันให้รับผิดชอบ แต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้าน สวนกระแสด้วยการประกาศไม่ลาออก แถมยังโวว่าต้องการเคลียร์ตัวเองให้จบ และหวังไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งครั้งหน้าเสียด้วยซ้ำ
พรรคกล้าธรรมก็เดินเกมอุ้มเต็มตัว ออกมาชี้ว่า หากจะเรียกร้องให้ใครแสดงสปิริต ก็ต้องใช้มาตรฐานเดียวกันกับนักการเมืองที่มีคดีค้างระหว่างพิสูจน์ทั้งหมด เข้าทำนอง“ข้าชั่ว เอ็งก็เลว” ที่ชวนให้บรรยากาศการเมืองดูขุ่นมัวขึ้นกว่าเดิม เรื่องนี้พรรคกล้าธรรมโดนเต็มๆ ทั้งภายในและภายนอก หลายฝ่ายถึงขั้นประเมินว่า อาจอยู่ไม่ถึงเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะกระแสในภาคใต้ที่ได้ยินว่าตกแบบสุดๆ นักการเมืองในพรรคหลายคนเริ่มเหลียวซ้ายแลขวา มองหาบ้านใหม่กันแล้ว
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคอลัมน์หน้า 4 ไทยโพสต์ ที่ว่า หลายฝ่ายประเมินว่า อาจอยู่ไม่ถึงเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งก็ตรงกับที่นายชวนกล่าวว่า นักการเมืองย้ายค่ายพวกนี้ไม่สำนึกบ้าง หรือว่าเงินสีเทาจากสแกมเมอร์อยู่ได้ไม่นาน
คำพูดของนายชวน อาจมาจากพื้นฐานที่ว่า ทั่วโลกกำลังจับตาและเตรียมปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งมีแหล่งใหญ่ในกัมพูชา และอาจมีนักการเมืองในเมืองไทยมีส่วนพัวพันกับสแกมเมอร์ในกัมพูชาหรือไม่? หรือแก๊งหลอกลวงใช้คนไทยเป็นบัญชีม้าฟอกเงิน จากกระแสข่าวที่ออกมามีผลทำให้พรรคการเมืองที่อยู่ในข่ายสงสัยกระแสตกได้
ผ่านข่าวฟอกเงินไปก็พบข่าวที่น่าชื่นใจอีกข่าว ที่กระบวนการยุติธรรมไทยได้แสดงความศักดิ์สิทธิ์ออกมาถึงแม้ใช้เวลาเกือบยี่สิบปี คือ ข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นชินคอร์ป 7.6 หมื่นล้านบาท โดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ซึ่งเป็นที่มาของมหากาพย์การประท้วงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำโดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้ชักนำพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่การเมือง และนายสนธิ ลื้มทองกุล ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Manager นายสนธิซึ่งเคยกล่าวว่าทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีดีที่สุดของไทย
แต่พอทักษิณออกลายหลีกเลี่ยงภาษีนับหมื่นล้านบาท นายสนธิ ก็ประกาศสงครามกับทักษิณแบบ “เจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย” นั่นคือที่มาของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เราเป็นหนึ่งในหลายแสนคนร่วมต่อต้านการเลี่ยงภาษีครั้งมโหฬาร จึงรู้สึกโล่งใจที่ต้องขึ้นศาลลงศาลนาน 13 ปี จากคดีต่อเนื่องกับการต่อต้านการเลี่ยงภาษี เมื่อพบว่า
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ศาลภาษีอากร ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร (โจทก์)ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร (จำเลยที่ 1) นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ (จำเลยที่ 2),นายประภาส สนั่นศิลป์ (จำเลยที่ 3) และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ (จำเลยที่ 4) ขอให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ ภงด.12-03025250-25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 ที่แจ้งให้นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท (ภาษี,เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม) ให้กับกรมสรรพากร
ศาลฎีกาฯพิจารณาแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)ของตน โดยให้บุคคลอื่นรวมถึงนายพานทองเเท้ และ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง และ แน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย
สรุปว่าศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้นายทักษิณชำระภาษีให้กรมสรรพากร 1.76 หมื่นล้านบาท ถือว่าคดีเลี่ยงภาษีที่สู้กันเกือบ 20 ปี สิ้นสุดแล้ว
นายทักษิณ ปัจจุบันรับโทษในเรือนจำกลางคลองเปรม อยู่ในภาวะเสียใจ เจ็บช้ำใจ เมื่อมีรายงานว่า อัยการสูงสุดจะอุทธรณ์ คดีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องคดีละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112
น.ส.พินทองทา ชินวัตร กับ นายพานทองแท้ ลูกสาวและลูกชาย น.ช.ทักษิณ ออกมาจากเยี่ยมบิดาในเรือนจำบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ท่านเสียใจและเจ็บช้ำที่อัยการอุทธรณ์ (คดี ม.112) น.ส.พินทองทากล่าว และ เสริมว่า“เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมเราต้องสู้”ส่วนนายพานทองแท้ กล่าวสั้นๆ ว่า “มันทำให้พวกเราจิตตกมาก”
เป็นธรรมดาที่เศรษฐีมีทรัพย์สินแสนล้าน และเคยมีอิทธิพลบารมีเหนือรัฐบาล และหลายหน่วยงาน หลายองค์กรในประเทศไทยต้องรับโทษในคุก และถูกซ้ำเติมด้วยอัยการอุทธรณ์คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งอาจต้องใส่ชุดนักโทษไปขึ้นศาล หากภาพนั้นถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ตายเสียยังดีกว่าใส่ชุดนักโทษขึ้นศาล
นับถือ นายชวน หลีกภัย ตลอดมาเนื่องจากนายชวน ได้พูดเป็นสัจธรรมว่า คนทำความผิดปิดบังบิดเบือนอย่างไรก็ไม่พ้นผิด สุดท้ายความจริงต้องปรากฏออกมา และคนทำความผิดต้องชดใช้กรรมตามผลจากการกระทำ
สุทิน วรรณบวร

รีบใช้สิทธิ 'เที่ยวดีมีคืน' หักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท เหลือเวลาอีกไม่มาก
'อนุทิน'เมินตอบ ปมเขมร เตรียมแผนกู้เงิน IMF 3,100 ล้านดอลอลาร์ โยงซื้อยุทโธปกรณ์
‘อนุทิน’สั่งสอบข้อเท็จจริง ปมซื้อขายตำแหน่งตร.ภูธรภาค 4 บอกเรื่องนี้ไม่ต้องคุย ผบ.ตร.
'อนุทิน'หัวเราะร่วนไม่ตอบ 'วราวุธ' ยก ชทพ. ย้ายซบ 'ภท.'
'นิพิฏฐ์'ท้าปชช. รับเงินคนรวย เลือกคนดี ลั่นลูกคนอื่นเป็นสส.ได้ ลูกคุณก็เป็นได้

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี