วันศุกร์ ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นอกจากไทยจะต่อสู้ปกป้องอธิปไตยของชาติแล้ว ยังกำลังทำสงครามกับกองกำลังสแกมเมอร์ อุตสาหกรรมฉ้อโกงออนไลน์ใหญ่ที่สุดของโลกด้วย
เรื่องนี้ กำลังเป็นชัดเจนในสายตาสื่อต่างชาติ และประชาคมโลก
1. เมื่อวานนี้ นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูลยืนยันจุดยืนแน่วแน่ของประเทศไทย
ระบุว่า ถ้าใครจะพูดเองหยุดยิงก็ต้องไปพูดให้กัมพูชาหยุดยิงไทย หยุดทำร้ายประเทศไทย ประเทศไทยไม่เคยทำอะไรเขาก่อน ได้แต่ปกป้องและตอบโต้ อย่างที่ตนบอก ว่าทุกคนพยายามหยุดทำโน่นหยุดทำนี่ ตนขอถามว่าประเทศไทยทำอะไร ประเทศไทยป้องกันไม่ใช่ตอบโต้ ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยไปรุกรานประเทศเพื่อนบ้านรอบทิศไม่มี
.png)
.png)
“...ใครเป็นฝ่ายเริ่มปะทะ ต้องนำเสนอข่าวเช่นนั้นก่อน เรามี 4 ข้อที่ได้ลงนามไว้ คือ 1. การถอนกำลังทหาร อาวุธ ซึ่งไทยได้ทำแล้ว2. คือการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เราได้ทำแล้ว 3. การปราบปรามสแกมเมอร์ ที่เราทำงานอย่างจริงจัง และ 4. คือการจัดการพื้นที่ชายแดน บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว เราก็ดำเนินการอย่างหนักมาโดยตลอด แต่กลับไปที่กัมพูชา ถอนนิดๆ หน่อยๆ ถอนกำลังคน แต่อาวุธยังอยู่ ไม่ทำเท่ากับประเทศไทย ทุ่นระเบิดก็ไม่ได้จัดการ จัดการให้ระเบิดแต่กลับไม่จัดการถอน ส่วนเรื่องสแกมเมอร์ก็ไม่ดำเนินการอะไรเลย ใครต้องทำทุกอย่าง และเรื่องบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว กัมพูชาก็ไม่ยอมร่วมบริหารจัดการ แต่กลับยิงอาวุธถล่มเข้ามาในประเทศไทย และคนที่อยากให้มีการเจรจา หยุดต่อสู้ จะต้องไปบอกใคร ต้องไปบอกคนตีหรือคนถูกตี เรื่องนี้ไม่เห็นต้องถาม....
...เรารักษาอธิปไตย รักษาเกียรติภูมิ รักษาแผ่นดิน และรักษาความปลอดภัยของประชาชน ยังทำแค่ตรงนี้อยู่ ยังไม่มีเป้าหมายอื่น” – นายกฯ อนุทินกล่าว
2. ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วย “หุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเตอร์เนต”
เวทีดังกล่าว สะท้อนความเชื่อมั่นของนานาชาติที่มีต่อประเทศไทย ในการรับบทนำด้านการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์และขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ
มีรัฐมนตรีและผู้แทนระดับสูงจาก 58 ประเทศเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
ตอกย้ำว่า “วาระปราบสแกมเมอร์ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง” แต่เป็นภัยคุกคามระดับโลก
นายกฯ อนุทิน ระบุว่า หลายประเทศให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้อย่างจริงจัง อาทิ ประเทศโมร็อกโก ที่ส่งรัฐมนตรีเข้าร่วมถึง 3 คน ขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ส่งนายหลิว จงอี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการปราบปรามขบวนการหลอกลวงทางอินเตอร์เนต เข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยตรง
“...ในการพบปะกัน คำแรกที่นายหลิว กล่าวกับผม คือ “ขอบคุณประเทศไทย” สำหรับความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะการส่งตัวอาชญากรระดับแกนนำ กลับไปดำเนินคดีในจีน ซึ่งถือเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสะท้อนความเชื่อมั่นระหว่างกันในกระบวนการยุติธรรมข้ามพรมแดน
มาตรการตรวจสอบเส้นทางการเงิน การยึดทรัพย์ และการขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมที่ผ่านมา ไม่ได้ทำเพียงเพื่อตอบสนองกระแสสังคม
แต่เป็นการ “ตัดวงจรคนชั่ว” ที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายข้ามชาติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง” –นายกฯ อนุทินกล่าว
ส่วนกรณีที่กัมพูชาไม่ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม นายกฯ ไทยระบุว่า เป็นเรื่องที่สะท้อน “เจตนาบางอย่าง”
3. รัฐบาลกัมพูชามีความเชื่อมโยงและผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการสแกมเมอร์ในหลายมิติ
เมื่อวานนี้ กองทัพบกได้หารือด้านความมั่นคง และแนวทางปราบปรามอาชญากรรมโทรคมนาคมและอินเตอร์เนต กับคณะผู้แทนสาธารณรัฐประชาชนจีน
นำโดยนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะจีน (MPS)
หลิว จงอี้ ชื่นชมความร่วมมือสามฝ่าย ไทย–เมียนมา–จีน ในพื้นที่เมียวดี ซึ่งสามารถส่งกลับผู้ต้องหาชาวจีนกว่า 6,600 คน และอัปเดตว่าเมียนมาตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจและตรวจอาคารในพื้นที่เสี่ยงกว่า 400 แห่งแล้ว ขณะเดียวกันขอให้ไทยเข้มมาตรการด่านตรวจและแนวชายแดนทั้งเส้นทางธรรมชาติและด่านทางการ
ฝ่ายจีนยังย้ำความสำคัญของการยึดและรักษาพยานหลักฐาน โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และสื่อดิจิทัล เพื่อขยายผลเครือข่ายและดำเนินคดีได้อย่างรัดกุม พร้อมย้ำข้อมูลเชิงประจักษ์ว่าความเชื่อมโยงระหว่างรัฐกัมพูชากับขบวนการสแกมเมอร์มีหลายชั้น จำเป็นต้องใช้เวลาและมาตรการรูปธรรมต่อเนื่องในการคลี่คลาย
ฝ่ายจีนระบุข้อมูลข่าวกรองว่า “รัฐบาลกัมพูชามีความเชื่อมโยงและผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการสแกมเมอร์ในหลายมิติ” จึงขอให้ไทย–จีนยกระดับความร่วมมือเชิงปฏิบัติการ เพื่อสกัดเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพในภูมิภาค
ฝ่ายกองทัพบกระบุว่า หลังการกวาดล้างอย่างเข้มข้น กลุ่มสแกมเมอร์บางส่วนมีแนวโน้มย้ายฐาน และใช้ไทยเป็น “ทางผ่าน” ไปประเทศที่สาม โดยแฝงตัวในรูปนักท่องเที่ยว หรือนักลงทุน ทำให้การคัดกรองซับซ้อนขึ้น จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการข้อมูลกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและตำรวจ รวมถึงการแจ้งเตือนเชิงข่าวกรองล่วงหน้าจากฝ่ายจีน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดกั้น การจับกุม และกระบวนการผลักดันออกนอกประเทศให้รวดเร็วเป็นมาตรฐานเดียวกัน
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง ตั้งกลไกแลกเปลี่ยนข่าวกรองถี่ขึ้น กำหนดแนวทางปฏิบัติร่วมด้านการคัดกรอง การจับกุม และการส่งตัวผู้ต้องหา รวมถึงการฝึกอบรมเทคนิคการเก็บพยานดิจิทัล เพื่อยกระดับความปลอดภัยของประชาชนและสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคอย่างยั่งยืน
.png)
.png)
.png)
4. นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการกับกัมพูชารอบนี้ กองทัพไทยได้ทำลายเป้าหมายที่เป็นอาคารกาสิโน และรังของสแกมเมอร์ไม่น้อยกว่า 6 แห่ง
ในจำนวนนี้พบว่าอย่างน้อย 2 อาคารหลัก เป็นรีสอร์ทและโรงแรมกาสิโนที่เคยถูกรัฐบาลสหรัฐฯขึ้นบัญชีคว่ำบาตรทางการเงิน และมีการยึดทรัพย์เจ้าของ มาก่อน
รายงานระบุว่า อาคารเหล่านี้ถูกใช้เป็นศูนย์กลางควบคุมการปฏิบัติการสแกมเมอร์ ทั้งการจัดการระบบคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และการบังคับแรงงานข้ามชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบใหม่ที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในระดับโลก
คุณ Pathom Indarodom ประมวลมุมมองในสื่อต่างประเทศ ที่สะท้อนว่าไทยกำลังโจมตีไปที่รังของสแกมเมอร์ในการสู้รบกับกัมพูชาด้วย ระบุว่า
“...ABC News ของออสเตรเลีย เขียนตรงไปตรงมาว่าไทยถูกกล่าวถึงในฐานะประเทศที่ “กล้าแตะ” โครงสร้างเศรษฐกิจสีเทา ไม่ใช่แค่ยิงโต้ตอบทางทหาร แต่กำลังท้าทายระบบ scam cities ที่ฝังรากลึกตามแนวชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่อย่างปอยเปตและบาเวตซึ่งเป็นที่รู้กันดีในหมู่นักข่าวและองค์กรสิทธิมนุษยชน
ล่าสุด The Wall Street Journal รายงานภาพเดียวกันว่าการปะทะครั้งนี้มี“ศูนย์ scam” เป็นหนึ่งในเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ บทความชี้ให้เห็นว่าอาคารจำนวนมากในกัมพูชาไม่ได้เป็นเพียงสถานบันเทิงหรือที่พักนักท่องเที่ยว แต่เป็นฐานปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ที่ดูดเงินจากเหยื่อทั่วโลก และเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน และอาชญากรรมไซเบอร์ในระดับอุตสาหกรรม
ขณะที่ AsiaNews วิเคราะห์ลึกไปกว่านั้น พวกเขาตั้งคำถามตรงๆ ว่า ความขัดแย้งครั้งนี้จะไม่มีทางเข้าใจได้เลย หากไม่พูดถึง “ผลประโยชน์มหาศาล” จากศูนย์ scam ที่หล่อเลี้ยงผู้มีอำนาจ เครือข่ายอาชญากรรม และเงินสีเทาที่ไหลเวียนข้ามพรมแดนทุกวัน
เมื่อเรื่องเดียวกันถูกพูดพร้อมกันจาก อเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป มันจึงไม่ใช่“วาทกรรมชาตินิยมของไทย” อีกต่อไป
โลกกำลังรับรู้ว่า กัมพูชาถูกมองว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง scam ของภูมิภาค
และที่สำคัญยิ่งกว่า คือ เรื่องนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ข่าว
ในเวทีสหประชาชาติ พันธมิตร 68 ประเทศ ได้ร่วมลงนามและขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือด้านการปราบอาชญากรรมไซเบอร์และ online scam ภายใต้อนุสัญญา UN ว่าด้วยอาชญากรรมไซเบอร์ โดยมี UNODC เป็นกลไกหลัก โลกกำลังจัดระเบียบปัญหานี้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง การติดตามเส้นทางการเงิน ไปจนถึงการคุ้มครองเหยื่อที่ถูกค้ามนุษย์มาบังคับทำงานในศูนย์ scam
และประเทศไทย…อยู่ในวงนั้น ไม่ใช่นอกวง
ไทยไม่ได้ออกมาตะโกนคนเดียวว่า “เราถูกหลอก” แต่กำลังยืนอยู่ในกลุ่มประเทศที่บอกว่า “scam center แบบนี้ต้องถูกทำลาย”
นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดในสมรภูมิข่าวสาร
เพราะเมื่อ narrative เปลี่ยน จาก “ไทยรุกรานเพื่อนบ้าน” เป็น “ไทยเผชิญหน้าอาชญากรรมข้ามชาติ” เกมก็เปลี่ยนทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การปะทะตามแนวชายแดน แต่คือการที่โลกเริ่มยอมรับว่า ปัญหา scam ในกัมพูชาไม่ใช่เรื่องภายในประเทศอีกต่อไป และการจัดการมัน ไม่ใช่หน้าที่ของไทยประเทศเดียว
ไทยไม่ได้โดดเดี่ยว แต่กำลังยืนอยู่บนฝั่งเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ของโลก ในสงครามเงียบ ที่เดิมพันคือความเชื่อมั่น ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลทั้งโลก”
5. อย่างไรก็ตาม กองทัพไทยยืนยันว่า ทุกเหล่าทัพ ทุกเป้าหมายที่โจมตี ล้วนเป็นเป้าหมายทางทหารทั้งสิ้น!
สำหรับการโจมตีสิ่งปลูกสร้างและบ่อนกาสิโน กองทัพไทยยืนยันว่า การโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดิน โดยมุ่งเป้าไปที่บ่อนกาสิโนและสิ่งปลูกสร้างในฝั่งกัมพูชาเป็นการทำลายภัยคุกคาม และเป้าหมายทางการทหาร เท่านั้น
ไม่ใช่การยึดครองดินแดน และเป็นการยืนยันจุดยืนในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาใช้เป้าหมายดังกล่าว เป็นปฏิบัติการทางทหารโจมตีฝ่ายไทย ดังที่ปรากฏในปฏิบัติการทางทหารของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ดังนี้
“กองทัพภาคที่ 2 ปฏิบัติการทางทหารตอบโต้ โดยใช้รถถังทำการยิงถล่มอาคารบ่อนกาสิโน และฐานสแกมเมอร์ของกัมพูชาในพื้นที่ ช่องสายตะกู
การปฏิบัติการของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ร่วมกับหมู่เรือลาดตระเวนชายแดน เป็นการโจมตีแบบจำกัดเป้าหมาย มุ่งทำลายระบบควบคุมโดรน และระบบต่อต้านโดรน ที่ฝ่ายกัมพูชาใช้เป็นเครื่องมือโจมตี และสกัดกั้นการปฏิบัติการของไทย รวมทั้งยังตรวจพบฐานยิงอาวุธหนักในบริเวณโดยรอบอาคารกาสิโนซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อกำลังทหารฝ่ายไทย
การใช้อากาศยาน F-16 ทำลายที่มั่นทางทหารพร้อมเส้นทางที่ฝ่ายตรงข้ามได้ใช้ในการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ “สะพานจัยจุมเนี้ยะ” ตั้งอยู่ที่บ้านทมอดา จังหวัดโพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา ทิ้งระเบิดเข้าบริเวณช่องด้านบนตัวอาคารบ่อนกาสิโน ภายในเสียหาย
ทั้งหมด
ทั้งนี้ ทุกเป้าหมายที่กองทัพไทยโจมตีล้วนเป็นเป้าหมายทางทหารทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกำลังรบ อาวุธยุทโธปกรณ์ อาวุธยิง
เพราะทุกเป้าหมายที่โจมตีมีการพิสูจน์ทราบอย่างชัดเจนว่าใช้เป็นฐานที่ตั้งปฏิบัติการทางทหาร”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี