วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
บรรยากาศการเมืองในเวลานี้ ซึ่งมีการเปรียบเปรยกันว่าเหมือน“ตลาดค้าวัวค้าควาย” นักการเมืองวิ่งย้ายคอกกันฝุ่นตลบ โดยแต่ละพรรคการเมืองก็ได้โชว์วิชั่นชูคำขวัญแสดงเข็มมุ่งนโยบายเรือธง ว่าจะเดินไปในทิศทางใดถ้าได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
เราที่เป็นประชาชน ก็ต้องฟังหูไว้หู เพราะนี่คือการหาเสียง เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เลือกผู้สมัครพรรคการเมืองของตนเข้าไปเป็น สส. เท่านั้น ส่วนเมื่อถึงเวลาลงมือปฏิบัติ จะทำได้จริงตามลมปากหรือน้ำลายที่ฟุ้งอยู่ในอากาศหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สำหรับสถานการณ์สงครามชายแดน“ไทย-กัมพูชา”ที่เป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในเวลานี้มากกว่าเรื่องของนักการเมือง เสียงปืนเสียงระเบิดก็ยังดังสนั่นตูมตาม คู่ขนานกับการเจรจาบนโต๊ะเพื่อหาทางออก อันจะนำไปสู่การหยุดยิงและสันติภาพระหว่างสองประเทศอย่างยั่งยืนนั้น ซึ่งถ้านับจากการปะทะในวันแรกเมื่อวันที่ 7 ธันวาคมถึงวันนี้ 25 ธันวาคม 2568 ก็เข้าวันที่ 19 มีทหารกล้าของเราต้องพลีชีพไปแล้ว 23 นาย และบาดเจ็บขาดขาดอีก 1 นาย จากการเหยียบทุ่นระเบิด “PMN-2” บริเวณพื้นที่บ้านสามหลัง จังหวัดตราด
การประชุมบนโต๊ะเจรจาของ “GBG” หรือคณะกรรมการชายแดนทั่วไป“ไทย-กัมพูชา”วันแรกที่จังหวัดจันทบุรีเมื่อเย็นวันที่ 24 ธันวาคมวานนี้นั้น เป็นการประชุมระดับ“เลขานุการคณะกรรมการ” โดยฝ่ายไทยมี พล.อ.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว รองเสนาธิการทหาร เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งการประชุมคณะนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 26 ธันวาคม เมื่อได้ข้อสรุปเป็นประการใด จึงจะเสนอให้ที่ประชุมใหญ่“GBC”พิจารณาลงนามข้อตกลงในวันที่ 27 ธันวาคม ที่มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย กับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นประธานคณะกรรมการร่วม
เมื่อดูรูปการณ์แล้ว อาจจะไปไม่ถึงขั้นตอน“การลงนามหยุดยิง” เพราะถ้าหากการประชุมระดับ“เลขานุการคณะกรรมการ”ไม่สามารถตกลงกรอบสำคัญเชิงเทคนิคได้ เช่น การวางกำลัง และรายละเอียดที่ทำให้หยุดยิง ทางฝ่ายไทยได้มีสัญญาณออมาว่า จะไม่ประชุม“GBC”เพื่อลงนามใดๆ ทั้งสิ้นในวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ซึ่งเพียงแค่หัวข้อที่ฝ่ายไทยตั้งไว้ 5 ประเด็นขึ้นสู่โต๊ะเจรจาระดับ“เลขานุการคณะกรรมการ” ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้กัมพูชายอมรับได้ลำบากยากยิ่ง
เพราะ 5 ประเด็นที่ว่านั้น เป็นการชี้พฤติกรรมของกัมพูชาที่ได้ละเมิดกติกาสากลจากการก่อสงครามรุกรานไทยในรอบที่สองครั้งนี้ คือกัมพูชาจะต้องยอมรับว่า 1.ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โดยครอบครอง ผลิต และใช้ทุ่นใหม่ 2.ใช้โบราณสถานเป็นที่มั่นทางทหาร 3.ใช้ชุมชนเป็นที่ตั้งยิงอาวุธหนัก และย้ายกลับชุมชนหลังปฏิบัติการยิงโจมตีเข้ามาในแดนไทยเสร็จสิ้น 4.ใช้อาคารพลเรือน รวมถึงอาคารที่เชื่อมโยงสแกมเมอร์และกาสิโนเป็นที่ตั้งทางทหารและคลังอาวุธ และ 5.ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์และเป็นเครื่องมือสำหรับกล่าวหาเมื่อเกิดความสูญเสีย
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่กัมพูชาจะยอมรับการกระทำเยี่ยง“สุนัขลอบกัด”ของตน ในทางกลับกันกัมพูชาก็ยังโกหกมดเท็จบิดเบือนข่าวต่อประชาคมโลกและต่อประชาชนของตนเอง จนดูเหมือนว่าทางการกัมพูชาก็อาจจะเชื่อคำโกหกมดเท็จของตนว่าเป็นเรื่องจริงไปแล้วด้วย
ยกมาให้ดูเป็นสังเขป เช่น ดร.เอ็ง โสพัลเลท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมกัมพูชา ได้กล่าวหาไทยว่า ทิ้งระเบิด พ่นควันพิษ และทำลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพในดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา โดยระบุว่าการกระทำของไทยถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าว“ป่าเถื่อนและโหดร้าย” เป็นการก่อ“อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม” ซึ่งละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในหลายมาตราของกฎบัตรสหประชาชาติ นอกจากนี้ ทางด้านกกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชาก็ยังกล่าวหาไทยด้วยว่า เป็น“เป็นผู้ก่ออาชญากรรมสงคราม”
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ทางการกัมพูชายัง“ปิดปากประชาชน”ชาวกัมพูชาไม่ให้เผยแพร่ข่าวสารที่มาจากฝั่งไทย โดยเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา สำนักข่าว“Khmer Times” ของกัมพูชารายงานว่า กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม และกระทรวงสารสนเทศของกัมพูชา ออกคำสั่งร่วมเรียกร้องให้ประชาชนกัมพูชางดแชร์เนื้อหาในโซเชียลมีเดียจากประเทศไทย หรือจากแหล่งที่มาไม่ชัดเจนและไม่ได้รับการตรวจสอบ
ทั้งสองกระทรวงดังกล่าวของกัมพูชาระบุว่า การเผยแพร่บทความ รูปภาพ และวิดีโอที่ไม่ได้รับการยืนยัน ส่งผลให้เกิดการยุยงปลุกปั่นและบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจกลบข้อมูลจากช่องทางสื่อสารอย่างเป็นทางการของรัฐบาลกัมพูชา พร้อมแสดงความกังวลต่อการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เช่น “ChatGPT” และ“Gemini” ที่อาจจะทำให้สังคมโลกเข้าใจผิด จากการประมวลผลและเผยแพร่ข้อมูลคลาดเคลื่อน
นอกจากนี้ ยังได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนรายงานและบล็อกเพจหรือบัญชีที่มีแหล่งที่มาจากประเทศไทย รวมถึงเรียกร้องให้สื่อมวลชนกระแสหลักปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างเคร่งครัด และให้ช่วยกันสนับสนุนแก่ผู้สร้างเนื้อหาเผยแพร่ข้อมูลและมุมมองของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่า เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเวทีสากล และลดอิทธิพลของข่าวเท็จจากประเทศไทย
ทั้งหมดที่ยกมานั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้สร้างบรรยากาศเพื่อนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิง นอกจากจะบิดเบือนข้อเท็จจริง จากคำพูดที่สวนทางกับการกระทำ ก็ยังไม่หยุดการปฏิบัติการใดๆ ทั้งสิ้น ที่เป็นการคุกคามและรุกรานอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของประเทศไทย
โดยยืนยันได้จากสถานการณ์ที่เป็นจริง จากการแถลงของทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่ 1 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมวานนี้นั้น ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 การสู้รบก็ยังไม่หยุดนิ่ง ยังมีการปะทะหนักในหลายจุด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และสุรินทร์ ซึ่งสถานการณ์ยังตึงเครียด แม้ว่าฝ่ายไทยจะคุมสถานการณ์ได้ แต่กัมพูชาก็ยังคงใช้จรวดหลายลำกล้อง“BM 21” ยิงเป้าหมายพลเรือนในฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง
ส่วนในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1 ฝ่ายกัมพูชายังระดมยิงจรวดหลายลำกล้อง “BM-21”อย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่ 3 แนวรบที่จังหวัดสระแก้ว คือพื้นที่บ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา, พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว และพื้นที่บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง ซึ่งทั้ง 3 แนวรบนี้พื้นที่มีลักษณะเป็นที่โล่ง ไม่มีฐานที่มั่นหรือกำบังที่มีความแข็งแรง ง่ายต่อการเป็นพื้นที่โจมตี อีกทั้งฝ่ายกัมพูชายังใช้พื้นที่ของพลเรือนเป็นที่ตั้งทางทหารในการโจมตีมายังฝ่ายเรา และนอกจากนี้ยังมีการตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล“PMN-2” และระเบิดแสวงเครื่องที่กัมพูชาลักลอบฝังไว้เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ อีกด้วย
สรุปไว้บรรทัดนี้ ผลการประชุม“GBC”จะสําเร็จหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับทางฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น เพราะปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น กัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่มและก่อขึ้นทั้งสิ้น และถ้าหากไม่จบก็รบต่อไปจนกว่ากัมพูชาจะสิ้น“เขี้ยวเล็บ” หมดขีดความสามารถทางการทหาร !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

อนุทิน ลงนามเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 บึงกาฬ-บอลิคำไซ เริ่มพรุ่งนี้
พ่อใจสลาย บ้านของขวัญลูก11เดือน ถูกเขมรยิง BM-21 พังทลายในพริบตา
กลิ่นหึ่งโรงพัก! สาวแสบพกไอซ์-ยาบ้า เยี่ยมผัวหน้าห้องขัง หวังให้เสพแก้ลงแดง
กัมพูชายอมถอย! เลิกตื๊อคุยมาเลย์ ยอมมาคุยจันทบุรี ไทยย้ำเงื่อนไขเหล็ก 3 ประการ
จับตาสนามเมืองกรุงพลิก ในวันที่ส้มไม่หวาน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี