รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 36 บัญญัติว่า“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการสื่อสารระหว่างกันไม่ว่าในทางใด
การตรวจ การกัก การเปิดเผยข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกันรวมทั้งการกระทำด้วยประการใด เพื่อให้ล่วงรู้หรือได้มาซึ่งข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกันจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ”
จากบทบัญญัติข้างต้นแสดงว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพติดต่อสื่อสารระหว่างกัน บุคคลใดจะมาทำการล้วงข้อมูล ดักฟังข้อมูล หรือกระทำด้วยประการใด เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลย่อมกระทำไม่ได้ เว้นแต่จะมีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้สามารถกระทำได้
เมื่อเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.... เพื่อลงมติในวาระสองและสามตามลำดับ ซึ่งถือว่าร่างกฎหมายดังกล่าวมีความสำคัญเพราะเกี่ยวด้วยการปราบปรามการทุจริต
แต่มีบทบัญญัติบางประการที่ไปละเมิดสิทธิของบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญข้างต้นบัญญัติรับรองไว้ โดยเฉพาะมาตรา 37/1 ที่ให้อำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สืบค้นข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊ค ได้แต่ต้องขออนุญาตต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบก่อนที่จะดำเนินการดังกล่าว
ความเข้าใจของคนทั่วไปที่มีต่อร่างกฎหมายดังกล่าวคือให้อำนาจ ป.ป.ช.ดักฟังโทรศัพท์ สืบค้นข้อมูลลับอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคลที่อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบ ทั้งทางไลน์ เฟซบุ๊ค และ
อื่นๆ อันกระทบกระเทือนถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ และอาจเข้าข่ายใช้อำนาจในทางมิชอบได้เช่นกัน เพราะเพียงแค่มีเหตุอันควรเชื่อ สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อขอข้อมูลดังกล่าวได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดกรรมาธิการฯยอมตัดมาตราเกี่ยวข้องกับการดักฟังออกไป เนื่องจากยังมีความเห็นค้านกันอยู่และไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงกระแสคัดค้านจากภายนอกสภา ที่ไม่เห็นด้วยกับการให้อำนาจ ป.ป.ช.ในการดักฟังโทรศัพท์และเข้าถึงข้อมูล ยิ่ง ป.ป.ช.มีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับคดีของนักการเมือง อาจนำไปสู่การใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้าม
ก่อนหน้านี้มีกฎหมายเกี่ยวกับการดักฟังและการเข้าถึงข้อมูลอยู่หลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 46, พระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติพ.ศ. 2528 มาตรา 3, พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 25 เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายจะให้อำนาจในการดักฟังและเข้าถึงข้อมูล แต่มีเงื่อนไขที่ต้องขออนุญาตจากศาล และขอได้เฉพาะบางคดีเท่านั้น หรือในกรณีสำคัญตามที่กฎหมายบัญญัติ
นอกจากนี้ยังมีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่ให้อำนาจตำรวจดักฟัง แต่ยังไม่ออกมาบังคับใช้ ซึ่งในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่บางหน่วยงานนิยมใช้เครื่องดักฟังมากที่สุด และปฏิบัติกันมานานแล้วในการดักฟังโทรศัพท์กลุ่มผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาโดยเฉพาะคดีสำคัญๆ เช่น คดียาเสพติด เพื่อแกะรอยคนร้ายและหลายๆ คดีทำสำเร็จ เพียงแต่หากนำหลักฐานดังกล่าวไปใช้ในชั้นศาล จะถือเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่ได้มาจากกระทำโดยมิชอบ จึงห้ามมิให้ศาลรับฟังข้อมูลนั้น
เว้นแต่การรับฟังพยานหลักฐานนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานงานยุติธรรมทางอาญา หรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน แต่ถ้าการดักฟังนั้นมีกฎหมายให้อำนาจเหมือนกรณีของ DSI หรือเจ้าพนักงานอื่นตามกฎหมายเฉพาะ ถือเป็นการได้พยานหลักฐานมาจากการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับการร่างกฎหมายที่ให้อำนาจ ป.ป.ช.ในการดักฟังโทรศัพท์รวมถึงการเจาะข้อมูลลับอิเล็กทรอนิกส์ด้านอื่นๆ ของบุคคลนั้นมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน หากเทียบกับกรณีของเจ้าหน้าที่บางหน่วยงานที่ใช้เป็นข้อมูลในการตามจับคนร้าย เพราะในอดีตคดีสำคัญๆ ป.ป.ช. ยังเคยทำสำเร็จมาแล้ว โดยไม่ต้องใช้การดักฟังแต่อย่างใด และโดยอำนาจพื้นฐานการตรวจสอบ ป.ป.ช. ย่อมมีสิทธิออกหมายเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งพยานเอกสารได้อยู่แล้วส่วนเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก ย่อมขอหมายเรียกจากศาลได้ ยิ่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นบุคคลสาธารณะที่ไม่ใช้ผู้ร้ายสำคัญ การดักฟังโทรศัพท์อาจจะไม่มีความจำเป็นด้วยซ้ำ
ในต่างประเทศการดักฟังโทรศัพท์จะใช้ในภารกิจสำคัญของหน่วยงานข่าวกรองเพื่อความมั่นคงของชาติ เช่น ในสหรัฐฯมีสำนักงานข่าวกรองกลาง (CIA) หรือใช้ในกรณีสืบสวนคดีสำคัญ หรือผู้ร้ายที่ติดตามจับตัวยาก แต่อย่างไรก็ตาม การดักฟังโทรศัพท์ยังไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติอยู่ดี เพราะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ยิ่งบางครั้งอาจมีปัญหากระทบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะมีการดักฟังข้อมูลส่วนตัวของผู้แทนต่างประเทศที่มาเยือน
สุดท้ายเมื่อร่างกฎหมายส่วนเกี่ยวกับการดักฟังตกไปจึงต้องกลับมาทบทวนว่าหากในอนาคตจะกลับมาพิจารณากันอีกเมื่อให้อำนาจส่วนนี้ไป ควรต้องตรวจสอบได้ว่า ไม่ได้ใช้เพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองแก่บุคคลใด หรือต้องมีหลักฐานอันควรเชื่อมากน้อยแค่ไหนที่ศาลจะอนุญาตให้เจาะข้อมูลตรงนี้ได้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนกระทบต่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งหากไปสำรวจความคิดเห็นวิญญูชนทั่วไป คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาดักฟังหรือล่วงรู้ความลับในการสื่อสารของตนกับบุคคลอื่น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี