nn เป็นเรื่องหมูๆ ที่ไม่หมูอีกต่อไปแล้ว....วันก่อนเห็นความเคลื่อนไหวของสภาผู้ผลิตสุกรสหรัฐที่ยื่นคำร้องขอให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ(USTR) ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือจีเอสพีประเทศไทย ภายใต้การพิจารณาการดำเนินการของประเทศที่ได้รับสิทธิ ด้วยเหตุผลว่าไทยไม่เข้าข่ายคุณสมบัติประเทศผู้ได้รับสิทธิด้านการเปิดตลาดสินค้าให้กับสหรัฐ อย่างเป็นธรรมและสมเหตุสมผลเพราะว่าไทยห้ามนำเข้าชิ้นส่วนหมูสหรัฐที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง(แรคโตพามีน) นับเป็นการตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า ผู้เลี้ยงหมูสหรัฐมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงกันอย่างถ้วนทั่ว และยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังของเกษตรกรอเมริกันที่สามารถเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลเร่งเปิดตลาดหมูได้
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลสหรัฐฯยังทำทุกวิถีทาง เพื่อเกษตรกรสหรัฐ โดยอยู่เบื้องหลังการกำหนดมาตรฐานของคณะกรรมการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ(CODEX) ในการผลักดันให้มีการกำหนดค่าสูงสุดในการอนุญาตให้มีได้ เพื่อให้เนื้อหมูและเนื้อวัวที่มีสารเร่งเนื้อแดงของสหรัฐสามารถเข้าทำตลาดในประเทศต่างๆ ได้ ทำให้คณะกรรมการ CODEX มีมติอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ที่ 69/67 เสียง ให้กำหนดค่า MRL ของ Ractopamineที่ 10 ppb ตั้งแต่กรกฎาคม 2555 เป็นต้นมา กลายเป็นจุดแข็งที่สหรัฐ ได้นำไปกล่าวอ้างกับทุกประเทศเป้าหมาย
กลับมาที่ประเทศไทย เกษตรกรกลับไม่มีเรี่ยวแรง ไร้พลังในการผลักดันทำได้เพียงแค่ยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แล้วต้องมาลุ้นว่าภาครัฐจะสนใจช่วยปกป้องอาชีพหรือไม่ ซึ่งในเนื้อหาการขอความช่วยเหลือได้ระบุชัดเจนถึงข้อเสียทั้งการใช้สารเร่งเนื้อแดง และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมหมู เชื่อว่าล้วนเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยและผู้เกี่ยวข้องต่างทราบกันดี
อย่าให้ความเพียรพยายามของภาครัฐตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่มุ่งส่งเสริมการผลิตอาหารปลอดภัย เพื่อก้าวสู่การเป็นครัวของโลกคงต้องแปดเปื้อน จากการเปิดให้มีการนำเข้าหมูจากสหรัฐ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้น ต้องบอกว่าเป็นหายนะ ที่ไม่เพียงเกิดขึ้นกับผู้เลี้ยงหมู แต่ยังรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งห่วงโซ่การผลิต ทั้งเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ ภาคอาหารสัตว์ และเวชภัณฑ์สัตว์ ซึ่งมูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมหมูมีปริมาณกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี และที่สำคัญคือสุขอนามัยของผู้บริโภคชาวไทย
อย่างไรก็ดี ขอชื่นชมคณะผู้แทนของไทยที่เจรจากับสหรัฐ เรื่องข้อเรียกร้องของสหรัฐต้องการให้ไทยเปิดนำเข้าหมูจากสหรัฐ ที่ได้ระบุอย่างนุ่มนวลว่าไทยยอมรับมาตรฐานอาหารโคเด็กซ์ แต่ด้วยพฤติกรรมการบริโภคหมูของคนไทยที่บริโภคแทบทุกส่วน รวมทั้งเครื่องใน และยังมีการบริโภคทั้งดิบและสุก แตกต่างกับสหรัฐ และชาวยุโรปที่บริโภคเฉพาะเนื้อ จึงไม่มั่นใจว่าหมูที่ผ่านมาตรฐานโคเด็กซ์ แต่มีการเลี้ยงด้วยสารเร่งเนื้อแดงจะมีผลต่ออวัยวะส่วนอื่นๆ ของหมูหรือไม่ จึงขอให้สหรัฐและไทยตั้งกรรมการร่วมกันเพื่อการศึกษาอย่างรอบด้าน พร้อมทั้งศึกษาพฤติกรรมการทานหมูของคนไทย ว่าแตกต่างกับสหรัฐอย่างไร ในระยะเวลา 1 ปี นับเป็นการต่อรองในขั้นแรกของการปฏิเสธที่สวยงาม
บทบาทจากนี้จึงเป็นเรื่องของชั้นเชิงการเจรจาต่อรองของผู้แทนจากไทย กับสหรัฐว่าฝ่ายไหนจะมีความสามารถในการหาวิธีต่อรองมากกว่ากัน และขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลไทย และผู้เกี่ยวข้องให้สามารถเอาชนะการเจรจาครั้งนี้อย่างไร้อุปสรรค มิฉะนั้น คงถึงคราวล่มสลายในอาชีพของผู้เลี้ยงหมู ตามมาด้วยความไม่ปลอดภัยของผู้บริโภค…...เรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย..!!!
พงษ์พันธุ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี