สถานการณ์ในบ้านลุงแซมตอนนี้คงต้องบอกเล่าด้วยสำนวนไทยว่า “ความวัวไม่ทันหาย..ความควายก็มาแทรก” จริงๆ แต่ก่อนที่จะบอกเล่าเก้าสิบเรื่องตาลุงผมเป๋ในอเมริกา ก็มีข่าวด่วนลอยฟ้ามาจากอังกฤษ ว่ากลุ่มต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ เรี่ยไรเงินกันสร้างตุ๊กตายางขนาดมหึมา เป็นรูปเบบี้ทรัมป์ใส่ผ้าอ้อม แต่ในมือมีมือถือไว้ทวิตข้อความด้วยสีหน้ากวนโทสะ เพื่อต้อนรับทรัมป์ที่จะมาเยือนอังกฤษในวันที่ 13 กรกฎาคมที่จะมาถึงนี้ พอชาวโลกเห็นหน้าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้เป็นต้องหัวเราะลั่นกันทุกคน
ผู้อพยพเด็กกว่า 2,300 คนถูกจับแยกจากพ่อแม่ หลังจากรัฐบาลทรัมป์เริ่มนโยบาย “ไร้ความอดทน” เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อดำเนินคดีต่อผู้ใหญ่ทุกคนที่ข้ามชายแดนอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงผู้ที่เดินทางร่วมกับเด็กๆ แม้ว่าทรัมป์กลับลำ ออกคำสั่งบริหารยุติการแยกครอบครัวเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน แต่รัฐบาลยังไม่ได้นำเด็กราว 2,000 คนกลับมาหาครอบครัว
แม้ขณะนี้ผู้พิพากษาศาลแขวงเมืองแซนดีเอพิพากษาว่า ห้ามมิให้รัฐบาลจับแยกครอบครัวผู้อพยพ และให้พ่อแม่ลูกกลับมารวมกันอีกภายใน 30 วัน ส่วนเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปีจะต้องส่งคืนให้แก่พ่อแม่ภายใน 2 สัปดาห์ แต่บอกเลยว่านาทีนี้สถานการณ์ยังสับสนยุ่งเหยิงมากจนสรุปได้ยากว่าจะออกหัวหรือออกก้อย
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วบรรดาสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเมียคนสวยของลุงทรัมป์เอง หรือมิเชล โอบามา ลอรา บุช ฮิลลารี คลินตัน และโรซาลินน์ คาร์เตอร์ ต่างออกมาแถลงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ทุกคนประณามนโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” ของเฒ่าทรัมป์อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
แต่มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ เมื่ออดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง อย่างนางลอรา บุช ให้สัมภาษณ์โดยอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์ด้านมืดของอเมริกา โดยกล่าวว่า
“นโยบายความอดทนเป็นศูนย์ช่างป่าเถื่อนและขัดต่อศีลธรรม ทำให้ดิฉันหัวใจสลาย และทำให้นึกถึงค่ายกักกันคนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน”
ทำให้อยากเขียนถึงความจริงในประวัติศาสตร์อเมริกาว่า ที่นี่เคยมีค่ายกักกันคนญี่ปุ่น ที่ตอนนั้นเรียกสั้นๆ ว่า “ค่ายปรับทัศนคติ” ใครจะคาดคิดว่า ประเทศที่อ้างว่าเปี่ยมไปด้วยความเท่าเทียม สิทธิ และเสรีภาพอย่างอเมริกา จะมีด้านมืดเช่นนี้ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายกาจเลยทีเดียว
เหตุการณ์ที่เพิร์ลฮาร์เบอร์เป็นการที่ญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือของอเมริกาใน ปี ค.ศ.1942 หลังเหตการณ์นี้ ทำให้อเมริกาไม่ไว้ใจญี่ปุ่น โดยเหมารวมไปถึงคนญี่ปุ่นที่อยู่ในอเมริกาด้วยเช่นกัน
หลังจากถล่มฮิโรชิม่ากับนาชาซากิด้วยปรมาณูจนวอดวาย ญี่ปุ่นก็ยอมแพ้สงคราม มีผลให้อเมริกากลายเป็นฝ่ายชนะสงคราม ถึงจะเป็นผู้ชนะ ลุงแซมก็ไม่พอใจเลยสร้างค่ายกักกันขนาดใหญ่ขึ้นมาหลายค่ายเพื่อกักกันพี่ญี่ปุ่นยุ่นปี่โดยเฉพาะ
ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ ออกคำสั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1942 ให้จัดตั้งค่ายกักกันพลเมืองอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในหลายพื้นที่ ส่วนมากแล้วเป็นชายฝั่งด้านตะวันตกของอเมริกา โดยระบุว่าจำเป็นต้องกักกันตัวผู้ที่มีเชื้อสายญี่ปุ่นเพื่อป้องกันสายลับ และควบคุมความสงบภายหลังสงคราม คือไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นสปาย คนญี่ปุ่นในอเมริกาโดนจับยัดเข้าค่ายแบบไม่ต้องร้องขอความกรุณาใดๆ
ลุงแซมไม่ได้จับเล่นๆ แล้วปล่อยออกมา แต่จัดหนักแบบล่อไปเป็นแสนๆ คน ค่ายที่ว่านี้คงต้องเรียกตรงตัวว่าเป็น “ค่ายปรับทัศนคติ” เพราะควบคุมโดยทหาร แรงแค้นที่เจอพี่ญี่ปุ่นหย่อนระเบิดที่เพิร์ลฮาเบอร์ยังกรุ่นในหัวอก จึงไม่ต้องสงสัยว่า คนญี่ปุ่นในค่ายจะเจอการรับน้องขนาดไหน
ค่ายปรับทัศนคติที่ว่านี้ไม่ได้เมตตาปรานีต่อขาวญี่ปุ่นในอเมริกาเลยแม้แต่น้อย เต็มไปด้วยการทารุณกรรมรูปแบบต่างๆ แม้ว่าคนญี่ปุ่นจำนวนมากจะถือสัญชาติอเมริกันแล้วก็ตาม แต่อังเคิลแซมไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปแม้แต่คนเดียว
คนญี่ปุ่นที่ถูกจับไปขังในค่ายเป็นพลเมืองอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นแทบทั้งสิ้น อาศัยอยู่ในอเมริกาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีหน้าที่การงานมั่นคง หลายครอบครัวอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายชั่วอายุคน และไม่เคยเป็นศัตรูต่ออเมริกามาก่อน แต่เคราะห์หามยามซวย กลับถูกจับโยนเข้าไปขังในค่ายเพียงเพราะเป็นคนเชื้อสายญี่ปุ่นเท่านั้นเอง
ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นที่อาศัยตามชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาถูกกักกันทั้งหมด ขณะที่ในฮาวาย ซึ่งมีชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นมากกว่า 150,000 คน หรือมากกว่าหนึ่งในสามของประชากร มีเพียง 1,200 ถึง 1,800 คนเท่านั้นที่ถูกกักกัน ในบรรดาผู้ที่ถูกกักกันทั้งหมดนั้นเป็นพลเมืองอเมริกัน 62%
ค่ายที่ว่านี้กระจายตัวเรียงรายในรัฐต่างๆ ทั้งรัฐแอริโซน่า รัฐอาร์คันซอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐโคโลราโด รัฐ ไอดาโฮ รัฐยูทาห์ และรัฐไวโอมิ่ง เรียกว่าอยู่ในโซนตะวันตกของประเทศทั้งหมด ตั้งอยู่ในสถานที่ทุรกันดาร มีการควบคุมเหมือนนักโทษ เรื่องหลบหนีไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นได้ยากมาก
สภาพอากาศภายในค่ายอบอ้าวหมือนเตาไฟในฤดูร้อน และหนาวสะท้านในฤดูหนาว ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นหลายครอบครัวแต่งงานมีลูกและตายในค่ายกักกันนั่นเอง ความเป็นอยู่ภายในค่ายแออัดยัดเยียด และถูกจำกัดขอบเขต กระโจมที่พักไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลย ไม่ว่าแดด ความหนาวยะเยือก หรือพายุทราย
ชาวญี่ปุ่นในสหรัฐฯ ถูกขังในค่ายปรับทัศนคติอยู่เกือบ 3 ปี จนกระทั่งถูกปล่อยตัวในปี ค.ศ.1945 ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารให้เงินแค่ 20 ดอลล่าห์และตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้าน จะว่าไปก็ไม่คุ้มหรอกกับอิสรภาพที่สูญเสียไปในช่วงเวลาทรมานเหล่านั้น
ค่ายปรับทัศนคติถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เนื่องจากชาวญี่ปุ่นเหล่านี้ไม่ได้ทำผิดกฎหมายและไม่ใช่เชลยศึก รวมทั้งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงคราม แต่ดูเหมือนว่าคนอเมริกันก็ทำเป็นลืมๆ ไปว่าเคยทำอะไรกับญี่ปุ่นไว้บ้าง
จนกระทั่งใน ค.ศ.1988 หรืออีก 46 ปีให้หลัง ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ลงนามในกฎหมายซึ่งขอโทษสำหรับการกักกันในนามของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยกฎหมายระบุว่า พฤติการณ์ของรัฐบาลตั้งอยู่บน "อคติแห่งเชื้อชาติ หวาดผวาสงคราม และล้มเหลวในภาวะผู้นำทางการเมือง" แล้วจ่ายเงินชดเชยมากกว่า 1,600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นที่ถูกกักกันและทายาทของคนเหล่านั้น
นี่คือความอัปลักษณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ของรัฐบาลอเมริกันที่กระทำต่อพลเมืองชาติตนเองอย่างมีอคติ เพียงเพราะชาวอเมริกันเหล่านี้มีเชื้อสายญี่ปุ่น ดูเหมือนว่าอเมริกันไม่เคยเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เลย เรื่องราวเกี่ยวกับค่ายกักกันเหล่านี้แทบไม่เคยถูกบันทึกในหนังสือเรียน จึงไม่แปลกใจอะไรที่ชาวโลกจะได้เห็นได้ยินได้ฟังเรื่องราวแบบนี้อีกในปัจจุบัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี