รศ.ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนับสนุนเรื่องที่คณะรัฐมนตรี หรือ ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อปฏิรูปการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแนว รูปแบบใหม่ แล้วยกเลิกภาษีโรงเรือนและที่ดิน ซึ่งภาษีตัวใหม่นี้จะทำให้รัฐมีรายได้มากกว่าเดิม
โดยระบุการถือครองที่ดินมีการกระจุกตัวเฉพาะผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ดังนั้นการเก็บภาษีที่ดินเป็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยใช้หลักการให้คนที่มีทรัพย์สินมากต้องเสียภาษี ไม่ให้ถือครองทรัพย์สินมากเกินไป และกระจายทรัพย์สินออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ครับ!! ผมเห็นด้วยมีทรัพย์สินเยอะต้องจ่ายภาษีให้รัฐมากกว่าปกติ
ที่มาเรื่องนี้คือ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2559 ได้อนุมัติในหลักการร่างกฎหมาย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว หลังจากนี้จะเป็นขั้นตอนส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ต่อไป ส่วนอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงจะต้องมีการออกกฎหมายลูกอีกหลายฉบับ
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับนี้แบ่งออกเป็น4 ประเภท ประกอบด้วย ประเภทที่อยู่อาศัยกรณีมีบ้านหลังเดียว มีมูลค่าไม่เกิน50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษี ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยเกิน50 ล้านบาทขึ้นไป จะเสียภาษีโดยมีอัตราเพดานสูงสุดที่ 0.5% แต่จัดเก็บจริงจะเก็บตามขั้นบันได ส่วนกรณีมีที่อยู่อาศัยหลายหลัง หรือมีบ้านตั้งแต่ 2 หลังขึ้นไปจะเสียภาษีทันทีในบ้านหลังที่สองตั้งแต่บาทแรก โดยมีอัตราเพดานสูงสุดที่ 0.5%
ส่วนประเภทที่ 2 คือ กลุ่มพื้นที่เกษตรกรรม มีอัตราเพดานสูงสุดที่ 0.2%กลุ่มที่ 3 สำหรับกลุ่มพาณิชย์ อุตสาหกรรม จะจัดเก็บภาษี ซึ่งมีอัตราเพดานสูงสุดที่ 2% และประเภทที่ 4 คือ กลุ่มที่ดินรกร้างว่างเปล่าและไม่ใช้ประโยชน์ จะจัดเก็บภาษีโดยมีอัตราเพดานสูงสุด 5% ในปีที่ 1-3 หลังจากนั้น หากไม่ได้มีการทำประโยชน์ในปีที่ 4-6 จะจัดเก็บเพิ่มอีกเท่าตัว
ทั้งนี้ คาดว่า ในปีแรกที่มีการจัดเก็บภาษีดังกล่าว จะมีรายได้เข้าท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเป็น 60,000 ล้านบาท จากปัจจุบันจัดเก็บรายได้ภาษีท้องถิ่นอยู่ที่ 20,000-30,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2560
ย้ำอีกหนถ้าภาษีตัวนี้มีผลบังคับใช้ก็จะมีรายได้เข้ารัฐ โดยเฉพาะในส่วนท้องถิ่น ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี เราๆ ท่านๆ มีบ้านหลังเล็กๆ ที่ดินไม่กี่ตารางวา ก็ไม่มีใครเดือดร้อนอะไร
แต่อาจไม่สบายใจก็ระดับมหาเศรษฐีทั้งหลาย ซึ่งบ้านพักอาศัยบ้านหลักที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท มีจำนวนเพียง 8,556 หลัง หรือ 0.04% เท่านั้น ส่วนใหญ่อยู่ในกทม.หรือหัวเมืองใหญ่ สร้างรั้วรอบขอบชิดแบบที่ว่าเพื่อนบ้านไปชะเง้อมองวาสนาคนรวยไม่ได้
ผิดกับที่ญี่ปุ่น บรรดาผู้มั่งคั่งมีบ้านใหญ่ๆ โตๆ เขาจะพัฒนา ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน ให้มีมาตรฐานการดำรงชีวิตดีขึ้นหรือใกล้เคียงกัน อาทิ ช่วยปรับปรุงถนน สร้างสวนสาธารณะ โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องสร้างรั้วใหญ่โตเหมือนในประเทศไทย เพราะถ้าเพื่อนบ้านอยู่ดีกินดีมีสิ่งแวดล้อมที่ดีก็ทำให้บรรยากาศดีไปด้วย ไม่ต้องกลัวโจรหรือความวุ่นวายต่างๆ
ครับ! ยังมีภาษีอีกตัวหนึ่งที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.ควรหาทางเก็บเป็นรายปี คือ ภาษีอาวุธปืน
ข้อมูลในเมื่อปี 2554 อาวุธปืนที่ทางราชการอนุญาตให้บุคคลครอบครองทั่วประเทศมี 2 ประเภท คือ อาวุธปืนสั้นจำนวน 3,675,320 กระบอก อาวุธปืนยาวจำนวน 2,450,214 กระบอก ปีนี้ 2559 น่าจะมีอาวุธปืนที่ถูกต้องตามกฎหมายประมาณ 8 ล้านกระบอก
ปกติการจะมีปืนถูกต้องตามกฎหมายต้องขออนุญาตจากมหาดไทยจ่ายค่าธรรมเนียม 500 บาท เท่านั้นใช้ได้ยันลูกหลานเพราะปืนถือว่าเป็นมรดก
500 บาท กับการได้ครอบครองอาวุธที่สามารถฆ่าเพื่อนร่วมโลกได้นั้นมันไม่เป็นธรรมต่อสาธารณะ ถ้าคิดใหม่ให้ใบอนุญาตปืนมีอายุแค่ 1 ปี และต้องต่อทะเบียนทุกปี เก็บภาษีปืนกระบอกละ1,000 บาท/ปี รัฐจะมีเงินเข้าคลังอีก8 พันล้านบาทต่อปี โดยที่คนทั่วไปไม่ได้เดือดร้อน ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าเวลาตำรวจไปค้นบ้านคนดังบางคนมีปืน 15 กระบอก ก็ต้องเก็บเพิ่มเป็นทวีคูณ
หรือเขียนกฎหมายใหม่ว่า ถ้าเจ้าของปืนตาย ให้ปืนตกเป็นของหลวง ใครอยากจะมีไว้เสริมบารมีก็ให้มาเช่าต่อจากรัฐ ก็เป็นช่องทางหารายได้เข้ารัฐอีกเพียบ การมีปืนประจำบ้านไม่ได้ช่วยให้สังคมดีขึ้นทั้งยังสร้างความหวาดระแวงในสังคมระหว่างกันมากกว่าเดิม รัฐบาลลองไปคิดดูนะครับ เรื่องการเก็บภาษีปืนรายปี ดีกว่าไปคิดลดเบี้ยยังชีพคนชรา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี