เหตุรถตู้โดยสารพุ่งข้ามฝั่งถนน ไปชนรถกระบะที่วิ่งมาอีกฝั่ง บนถนนสาย 344 อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เกิดไฟลุกไหม้ สภาพพังยับเยิน เสียชีวิตทั้งหมด 25 คน
เป็นคนในรถตู้ (รวมคนขับ) 14 ศพ
เป็นคนที่มากับรถกระบะ 11 ศพ
1. เป็นความสูญเสียที่น่าเศร้า สำหรับทุกชีวิตที่จากไป
คนบนรถตู้ บางคนเป็นลูกสาวที่กำลังจะกลับไปทำงาน
มีทั้งนิสิตและนักวิจัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
ทุกคน ล้วนมีคนที่รัก มีครอบครัว
ส่วนคนบนรถกระบะ ยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด
มีคนนามสกุลหาญเสมอ 6 คน เสียชีวิต
มีคนนามสกุลเจือจาง 3 คน เสียชีวิต
ในจำนวนนั้น มีทั้งชาย หญิง หนุ่มสาว และเด็ก
เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ ในเหตุการณ์ครั้งเดียว แค่พริบตาเดียว!
ควรจะทำให้สังคมได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่า การจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะมีความสำคัญแค่ไหน และมันทำให้เกิดโศกนาฏกรรมแก่ผู้คนได้ทั้งวงศ์ตระกูลเลยอย่างไร
2. นายพรศักดิ์ ไทยเจียมอารีย์ ขนส่งจังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า คนขับรถตู้ดังกล่าวทำหน้าที่ขับรถตู้ 5 เที่ยว ในช่วงเวลา 31 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย น่าจะมีการพักผ่อนมากกว่านี้
นายพรชัยระบุว่า รถตู้ที่เกิดเหตุ เป็นรถตู้โดยสารประจำทาง ลักษณะ ม. 2(จ) เลขทะเบียน 15-1352 มีการตรวจสภาพเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 และตรวจโดยสำนักงานขนส่ง กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 5 และเป็นรถตู้ร่วมกับบริษัท ขนส่ง จำกัด หมวด 2 สายที่ 9907 กรุงเทพฯ-จันทบุรี
ผู้โดยสารทั้งหมด 14 คน มาขึ้นรถโดยสารที่คิวหน้าห้างโรบินสัน ตลาดมหาราช และออกจากคิวในเวลา 11.00 น. เพื่อมุ่งสู่กรุงเทพฯ ตามถนนสาย 344 (ชลบุรี-อ.แถลง) แต่เมื่อถึงที่เกิดเหตุ รถตู้โดยสารเสียหลักข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้าม เฉี่ยวชนอย่างรุนแรงกับรถกระบะที่มีผู้โดยสารนั่งมาด้วยจำนวน 12 คน ทำให้เกิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง กระทั่งมีผู้เสียชีวิต 25 คน
“รถตู้คันที่เกิดเหตุไม่ได้เข้าสถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.จันทบุรี ทำให้สถานีขนส่ง จ.จันทบุรีที่ตั้งหน่วยดูแลในช่วงเทศกาลไม่สามารถตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารและและพนักงานขับรถตู้ได้ เป็นที่น่าสังเกตว่า พนักงานขับรถตู้ ได้เริ่มขับรถตู้ในวันที่ 1 มกราคม เที่ยวแรกออกจาก จ.จันทบุรี เวลา 04.00 น. เที่ยวสอง ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 11.30 น. และเที่ยวสาม ออกจากจันทบุรี เวลา 18.00 น.( ถึงกรุงเทพฯ เวลา 22.30 น.) และวันที่ 2 มกราคม 2560 เที่ยวแรกออกจากกรุงเทพฯ เวลา 05.00 น. และเที่ยวที่สอง ออกจากจันทบุรี เวลา11.30 น. และมาประสบอุบัติเหตุ”
ทางสำนักขนส่ง จ.จันทบุรี จะได้เข้าตรวจสอบการดำเนินธุรกิจที่คิวรถในตลาดมหาราช หน้าห้างโรบินสัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำ ส่วนการที่ไม่นำรถโดยสารเข้าไปใช้ในสถานีขนส่ง จ.จันทบุรี โดยในขณะนี้ได้ประสานให้บริษัท ขนส่ง จำกัด ได้มาชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ซึ่งการที่ผู้ประกอบการขนส่งประจำทางไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่นายทะเบียนกำหนด ในเรื่องสถานที่จอด หรือการขนถ่าย สัตว์และสิ่งของจะต้องระวางโทษ 50,000 บาท ตามบทกำหนดโทษมาตรา 131
ด้านนายภัทรพงษ์ เสือนาค นายท่าคิวรถตู้โดยสาร ยืนยันว่า รถตู้คันที่ประสบอุบัติเหตุออกจากกรุงเทพฯ มาส่งผู้โดยสารที่จันทบุรีตอนตี 5 ในวันที่ 2 ถึงคิวในเวลา10.00 น. กว่า คนขับรถได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ และทางบริษัทมีการตรวจร่างกาย ตรวจสุขภาพ ก่อนที่จะให้ขับรถต่อในเที่ยวต่อไป และได้คิวออกจากจันทบุรีไปกรุงเทพฯ ในเวลา 11.00 น. ซึ่งคนขับ คือ นายสมุน เอี่ยมสมบัติ เป็นคนอัธยาศัยดี อยู่ที่บางนา กรุงเทพฯ
สำหรับเหตุการณ์กรณีนี้ จะต้องตรวจสอบสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป ว่าเกิดจากอะไร อุปกรณ์บกพร่อง คนขับบกพร่อง หรือระบบบกพร่อง หรือทั้งหมด?
3. อันที่จริง ความสุญเสียจากรถตู้โดยสาร ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อต้นเดือนธันวาคม มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคก็เพิ่งสรุปข้อมูลเตือนเอาไว้แล้ว
นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ประสานงานโครงการรถโดยสารปลอดภัย เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2559 พบว่า “รถตู้โดยสาร” มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุ 215 ครั้ง หรือ 19.5 ครั้ง/เดือน
บาดเจ็บ 1,102 คน หรือ 100 คน/เดือน
มีผู้เสียชีวิต 103 คน
หรือเสียชีวิต 9.4 คน/เดือน
สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ เกิดจากความประมาทในการขับรถของผู้ขับขี่
สาเหตุความรุนแรงของการบาดเจ็บและเสียชีวิต เกิดจากสภาพของรถตู้โดยสารดัดแปลงที่ไม่เหมาะกับการบรรทุกผู้โดยสาร
ขณะที่รถทัวร์โดยสารประจำทาง มีอุบัติเหตุ 141 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 1,252 คน เสียชีวิต 56 คน
รถทัวร์โดยสารไม่ประจำทาง 52 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 576 คน เสียชีวิต 47 คน
รถแท็กซี่ 77 ครั้ง บาดเจ็บ 84 คน เสียชีวิต 7 คน
และรถเมล์โดยสาร 48 ครั้ง บาดเจ็บ 75 ครั้ง เสียชีวิต 10 คน
เรียกว่า มีผู้เสียชีวิตจากรถตู้โดยสารมากที่สุด
4. ปัจจุบัน มีรถตู้โดยสารจดทะเบียน 41,202 คัน แบ่งเป็นรถตู้โดยสารประจำทาง 16,002 คัน รถตู้โดยสารไม่ประจำทาง 24,136 คัน และรถตู้ส่วนบุคคล 1,064 คัน
นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศเปิดเผยว่า การเกิดอุบัติเหตุของรถโดยสารสาธารณะว่า เกิดจากหลายปัจจัยทั้งคน รถ และถนน เช่น พฤติกรรมเสี่ยงและความประมาทของผู้ขับขี่ โครงสร้างรถโดยสารที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย รูปแบบถนนที่เป็นอุปสรรคและไม่เอื้อต่อการขับขี่ของรถโดยสาร ความไม่พร้อมและการไม่ตระหนักถึงความปลอดภัยในการให้บริการของผู้ประกอบการ รวมถึงมาตรการกำกับดูแลของรัฐที่ไม่ต่อเนื่องจริงจัง
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภค เสนอทางแก้ไขปัญหาว่า รัฐควรมีมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พัฒนาระบบสัญญาใบอนุญาต ตลอดจนความปลอดภัยรถโดยสาร และเข้มงวดกับการตรวจรถโดยสารมากยิ่งขึ้น หากมีกรณีอุบัติเหตุซ้ำซาก ควรมีมาตรการพักใบอนุญาตการเดินรถของผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อความปลอดภัยทางถนนและการลดอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ
5. ที่สำคัญ คือ ทุกฝ่ายจะต้องตะหนักถึงปัญหารุนแรงนี้ด้วยกัน
มิใช่ทำเป็นไฟไหม้ฟาง
พอภาครัฐขยับจะเอาจริง ก็มีการต่อต้าน แข็งขืน แม้แต่ตัวผู้บริโภคบางส่วนก็ยังยอมเสี่ยงต่อไป โดยคิดว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง คิดว่าเป็นเรื่องโชค ว่าตนเองคงจะไม่โชคร้าย แล้วก็ลืมๆ กันไป
การจัดระเบียบการประกอบกิจการ อาจจะต้องนำไปสู่ต้นทุนการประกอบกิจการเพิ่มขึ้นบางส่วน เช่น ถ้าคนขับรถตู้ต้องทำเวลา เพื่อให้ได้รอบมากที่สุด หรือบางกรณีที่ปรากฏว่ามีการยัดทะนานผู้โดยสาร เพื่อเพิ่มรายได้ต่อรอบ ฯลฯ ปัญหาการบริหารจัดการผลประโยชน์ในระบบรถตู้ ก็ต้องสังคายนากันอย่างจริงจัง เพื่อวางระบบที่ทุกฝ่ายอยู่ได้ พอสมควร สมเหตุสมผล
ถ้าจำเป็นต้องจัดระบบข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ใหม่ หรือเพิ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งว่าในอนาคต หากจำเป็นต้องขึ้นค่าโดยสารเพื่อสะท้อนต้นทุนต่อเที่ยวในระดับที่สมเหตุสมผล ก็ควรจะดำเนินการให้เกิดความชัดเจน โปร่งใส แลกกับบริการที่มีคุณภาพและปลอดภัย
ต้องเอาจริง ต่อเนื่อง และผู้บริโภคมีส่วนร่วมจริงจังเท่านั้น จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี