ยังคงมีคำถามจากสาธารณชนผู้ติดตามการใช้เงินงบประมาณภาษีบาปปีละอย่างน้อย 2 พันล้านบาท โดยกลุ่มผู้บริหาร
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสว่า ประเด็นการใช้เงิน 193,615,553.80 บาท ซื้อหุ้นกู้บริษัท ซีพีเอฟ จำกัด (มหาชน) มีความกระจ่างมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะคำถามที่ว่า การใช้เงินดังกล่าว ผิดวัตถุประสงค์การจัดตั้งองค์การฯ เพื่อดำเนินกิจการโทรทัศน์สาธารณะหรือไม่
ประเด็นปัญหาต่อมาคือ การอนุมัติให้ซื้อหุ้นกู้นี้ ปฏิบัติตามระเบียบและวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ผู้ซึ่งติดตามกฎระเบียบของไทยพีบีเอสอย่างใกล้ชิดต่างให้ความเห็นว่าการใช้เงินเกือบ 2 ร้อยล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟโดยผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสและคณะนั้น ถือว่าไม่ปฏิบัติตามระเบียบขององค์การฯ เพราะว่าเป็นการใช้จ่ายเงินเกินกว่า 50 ล้านบาท โดยอ้างอิงว่าการจะใช้เงินเกินกว่า 50 ล้านบาท เพื่อการใดการหนึ่งนั้น จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายขององค์การฯ ก่อน ดังนั้นหากคณะกรรมการนโยบายฯ มิได้อนุมัติให้ผู้อำนวยการใหญ่ หรือกรรมการบริหารขององค์การฯ ใช้เงินแล้ว ก็ถือว่าเป็นการทำผิดระเบียบโดยชัดเจน
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ นายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2560 แต่เป็นการลาออกที่สังคมยังคงตั้งคำถามตลอดเวลาว่า หากลาออกเพราะมีความผิด นายกฤษฎาจะต้องรับผิดชอบชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับองค์การฯ สถานใด แต่ถ้าหากไม่มีความผิดแล้ว เหตุไฉนจึงต้องลาออก แต่ที่ถามกันมากกว่านั้นคือ คณะกรรมการนโยบายทุกคนของไทยพีบีเอสจะต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไรกับกรณีนี้
มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า การซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟโดยไทยพีบีเอสในครั้งนี้ มีผู้ลงนามร่วมในการอนุมัติคือ นายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ นางวิลาสินี พิพิธกุล อดุลยานนท์ และนายอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์
ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2560 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งหนังสือเรื่อง การซื้อขายตราสารหนี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) โดยเรียน ประธานคณะกรรมการนโยบายของส.ส.ท. คือ นายจุมพล รอดคำดี เนื้อหาสำคัญประการหนึ่งในหนังสือฉบับนี้ระบุว่า
“.....รัฐจึงได้กำหนดให้จัดสรรภาษีที่เก็บจากสุราและยาสูบ ตามกฎหมายว่าด้วยสุรา และกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ในอัตราร้อยละหนึ่งจุดห้า สูงสุดปีงบประมาณละไม่เกินสองพันล้านบาท ให้เป็นรายได้ของส.ส.ท. การแสวงหากำไรโดยการนำเงินไปลงทุนในหุ้นกู้จึงเป็นกิจการนอกเหนือภารกิจหลัก และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์การจัดตั้งองค์การ ส่งผลให้ระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการงบประมาณ พ.ศ. 2558 ข้อ 9 ซึ่งกำหนดให้ ส.ส.ท. สามารถนำรายได้ไปหาผลประโยชน์ได้ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด เป็นระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2553 นอกจากนี้ ในกระบวนการอนุมัติซื้อและสั่งจ่ายเงินฝากจำนวน 193,615,553.80 บาท เพื่อซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ มีการปฏิบัติไม่เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นการสั่งจ่ายเงินคราวหนึ่งเกินกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งระเบียบกำหนดว่าต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบาย เมื่อข้อเท็จจริงคณะกรรมการนโยบายมิได้กำหนดให้ผู้อำนวยการหรือกรรมการบริหารมีอำนาจสั่งจ่ายเงินสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชนเป็นผู้ออก ผู้อำนวยการและกรรมการบริหารจึงไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ดังนั้นเพื่อให้การบริหารเงินของ ส.ส.ท. เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง และแบบแผนการปฏิบัติราชการอันจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารการเงิน ป้องกันการทุจริต และมิให้เกิดความเสียหาย จึงขอให้ ส.ส.ท. พิจารณาดำเนินการกรณีการซื้อหุ้นกู้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 โดยเคร่งครัด
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ และแจ้งผลการดำเนินการให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบภายใน 60 วัน พร้อมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องรับรองสำเนาถูกต้อง เพื่อประกอบการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ต่อไป”
เอกสารจากสตง.ฉบับนี้ส่งถึงนายจุมพล รอดคำดี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายของส.ส.ท. ลงนามท้ายเอกสารโดยนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
สาธารณชนกำลังเฝ้าติดตามว่า ประธานคณะกรรมการนโยบายของส.ส.ท. และคณะกรรมการนโยบายคนอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วย นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ นางลดาวัลย์ บัวเอี่ยม นายพิเชฐ พัฒนโชติ นายไพโรจน์ พลเพชร นายวิทยา กุลสมบูรณ์ นายสุรพงษ์ กองจันทึก นายพิพัทธ์ ชนะสงคราม และนางสาวรุ่งมณี เมฆโสภณ จะมีปฏิกิริยาอย่างใดกับเอกสารของสตง. ฉบับนี้
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่สาธารณชนกำลังตั้งคำถามคือ คณะกรรมการนโยบายชุดนี้จะให้เหตุผลอย่างไรกับการที่ต้องพิจารณาคัดเลือกผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสคนใหม่ ระหว่างนายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กับนางวิลาสินี พิพิธกุล อดุลยานนท์ ในเมื่อนางวิลาสินีคือผู้หนึ่งที่ร่วมลงชื่ออนุมัติซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟด้วย ปัญหาอยู่ตรงที่ หากเลือกนางวิลาสีนีให้ดำรงตำแหน่งผอ.ไทยพีบีเอสคนใหม่ คณะกรรมการนโยบายจะตอบคำถามสังคมเรื่องการซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟอย่างไร สาเหตุที่ผู้เขียนตั้งคำถามนี้แทนสาธารณชนเช่นนี้ มิได้หมายความว่าผู้เขียนสนับสนุนให้นายอดิศักดิ์ได้รับตำแหน่งดังกล่าวไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการนโยบายส่วนใหญ่จะตัดสินใจเลือกนายอดิศักดิ์ให้รับตำแหน่งผอ.ไทยพีบีเอส แล้วปรากฏภายหลังว่านายอดิศักดิ์ใช้สถานะความเป็นผอ.ไทยพีบีเอสเลือกนางวิลาสินีให้รับตำแหน่งรองผอ.ไทยพีบีเอส โดยคณะกรรมการนโยบายอาจจะอ้างว่าเป็นสิทธิ์การตัดสินใจโดยชอบของนายอดิศักดิ์ คำอ้างดังกล่าวก็จะทำให้สาธารณชนตั้งคำถามว่า แล้วประเด็นการร่วมลงนามซื้อหุ้นซีพีเอฟโดยนางวิลาสินีจะถือว่าได้ร่วมกระทำความผิดด้วยหรือไม่
ประเด็นนี้คือสิ่งสำคัญที่คณะกรรมการนโยบายทุกคนของไทยพีบีเอสจำเป็นต้องสำเหนียกให้จงหนัก แล้วต้องไม่ลืมว่าถ้าหากการซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวเข้าข่ายกระทำผิดระเบียบของส.ส.ท. แล้ว การปล่อยให้นางวิลาสินีเข้ารับตำแหน่งรองผู้อำนวยการไทยพีบีเอสก็น่าจะเข้าข่ายการปล่อยปละละเลยและเพิกเฉยต่อหน้าที่โดยคณะกรรมการนโยบาย คำถามสุดท้ายคือ ถ้าหากเรื่องการซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ ถูกพิพากษาว่ากระทำผิดกฎหมายโดยชัดแจ้ง ก็อาจจะทำให้คณะกรรมการนโยบายไม่สามารถหลบหนีความผิดไปได้ แต่ถ้าหากกรรมการนโยบายจะยืนยันว่าเรื่องการซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟโดยนายกฤษดาและพรรคพวกไม่มีความผิดแต่ประการใด ก็สมควรจะต้องคืนตำแหน่งผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสให้นายกฤษดาโดยทันที แล้วล้มเลิกการสรรหาผู้อำนวยการไทยพีบีเอสครั้งล่าสุดโดยพลัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี