“การที่จะระบายน้ำออกขุดลอกคูคลอง ขยายลำน้ำจะทำได้ไหม เพราะเดี๋ยวเอ็นจีโอก็ออกมาคัดค้านเรื่องระบบนิเวศอีก แล้วจะให้ทำอย่างไร สื่อต้องไปทำความเข้าใจตรงนี้ ไม่ใช่ให้รัฐบาลนี้ทำอะไรก็ทำ แล้วพอไม่เกิดขึ้นก็บอกว่า รัฐบาลไม่ทำ รัฐบาลทำทุกแผน แต่ทำไม่ได้เลย เพราะประชาชนไม่ยินยอม แล้วใครจะรับผิดชอบกับผมบ้าง เอ็นจีโอที่คัดค้านจะว่าอย่างไรน้ำท่วมออกมาพูดบ้างไหม”
เป็นคำพูดบางส่วนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.หลังการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับการป้องกันน้ำท่วม
ประชุมครม.เรื่องน้ำเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม นายกฯก็พูดถึงเอ็นจีโอ ออกทางโทรทัศน์ อีกหน
นายกรัฐมนตรี คงยัวะจริงๆ ถึงได้ออกมาพูดแบบนี้
จะว่าไปแล้ว น้ำท่วมอีสาน ที่ผ่านมายังไม่พบว่ามีถุงยังชีพจากฝ่ายเอ็นจีโอที่คัดค้านการสร้างเขื่อน ป้องกันน้ำท่วม ส่งไปยังผู้เดือดร้อนโดนอุทกภัย เหมือนแล้งน้ำใจต่อกัน
กระนั้นก็ตามเอ็นจีโอ อีกหลายกลุ่มก็น่าเลื่อมใส อาทิ ทำงานเกี่ยวกับเด็ก สตรี คนไร้สัญชาติ ช่วยเหลือ
ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
แต่ที่เห็นๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นกลุ่มที่อ้างเรื่องสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ คัดค้านโครงการของรัฐ อาทิ การสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม สร้างโรงไฟฟ้าทั้งที่จังหวัดกระบี่ และโรงไฟฟ้าอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา เพื่อแก้ไขปัญหาไฟฟ้าขาดแคลนในอนาคต
โครงการเหล่านี้ก็ต้องมาสะดุดเพราะเสียงคัดค้าน
คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน สภาขับเคลื่อน การปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่มี นายคุรุจิต นาครทรรพ เป็นประธานกรรมาธิการ ได้เข้ามาศึกษาในเรื่องนี้ เพื่อเป็นหนึ่งในข้อเสนอปฏิรูปประเทศไทยของ สปท. และได้พบต้นเหตุสำคัญของความล่าช้าของโครงการรัฐ ว่าส่วนหนึ่ง มาจากการต่อต้านของเอ็นจีโอ ที่ทำให้รัฐไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ โดยมักหยิบยกเรื่องสิ่งแวดล้อมเพียงมิติเดียว สร้างเงื่อนไขร้องเรียนไปยังองค์กรตรวจสอบต่างๆ จนทำให้โครงการล่าช้า และสร้าง
ความเสียหายต่อรัฐ
ครับ...คล้ายกับความเห็นของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
ผลการศึกษาของ สปท. ยังพบว่า เฉพาะโครงการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เพียงโครงการเดียวที่ถูกต่อต้านจนล่าช้ากว่ากำหนดมานานนับ 10 ปี ได้สร้างความเสียหายแก่ประเทศคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจการลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท และปริมาณทรัพยากร (ก๊าซธรรมชาติ 1-5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 20-50 ล้านบาร์เรล) รวมทั้งการจ้างงานในธุรกิจ สำรวจและผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องไม่น้อยกว่าประมาณ 200,000 อัตรา การจัดหาปริมาณก๊าซธรรมชาติ และปริมาณน้ำมันดิบเพื่อความมั่นคงของประเทศ และลดการนำเข้า ก็ต้องยืดระยะเวลาออกไป
นอกจากนี้ สปท.ยังถอดบทเรียนการจากการเคลื่อนไหวของเอ็นจีโอ ในต่างประเทศ พบว่า บางกลุ่ม ยอมให้องค์กรจากต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงกิจการในประเทศของตนเอง เพื่อแลกกับเงินสนับสนุน จนทำให้หลายๆ ประเทศ ทั้ง อินเดีย กัมพูชา จีน หรือแม้กระทั่งสิงคโปร์ ยังต้องเพิ่มเข้มงวด ในการควบคุมเอ็นจีโอ เหล่านี้ บางประเทศถึงกับออกกฎหมายออกมาควบคุมกันอย่างเข้มงวดจริงจัง
ในส่วนของประเทศไทย การเคลื่อนไหวของ เอ็นจีโอ ก็จะอ้างตัวเป็นตัวแทนภาคประชาชน ไล่ล่าตรวจสอบโครงการต่างๆ ของภาครัฐ พร้อมตั้งประเด็นโจมตีการทำงานของภาครัฐ ว่า ไม่โปร่งใส
ขณะเดียวกันสถานะของเอ็นจีโอในไทย บางกลุ่ม มีภาพที่คลุมเครือ ไม่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่มีการแสดงหลักฐานยืนยันตัวตนที่ชัดเจน เปลี่ยนชื่อองค์กรไปเรื่อยๆ ตามโครงการที่จะคัดค้าน และไม่ได้แสดงที่มาของแหล่งเงินทุนที่ใช้
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้สังคมตั้งข้อสังเกต ว่า การเคลื่อนไหวมีวาระซ่อนเร้น อะไรหรือไม่ หรือเพื่อให้ได้เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ หรืออื่นๆ??
ข้อเสนอของผลการศึกษา สปท.ยังแนะนำว่า รัฐควรใช้กฎหมายฟอกเงิน เข้าไปจัดการกับท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มเคลื่อนไหว จากองค์กรต่างประเทศ ที่มีวาระซ่อนเร้นเข้ามาแทรกแซงกิจการของรัฐด้วย
ครับ... อดีตเป็นบทเรียนของประเทศ แต่ถ้าภาครัฐจะมีโครงการเพื่อสาธารณะอีก แล้วกลุ่มผู้คัดค้าน จะเคลื่อนไหวด้วย ก็ควรตอบข้อสงสัยเหล่านั้นก่อน เพื่อให้สบายใจของทุกฝ่าย และเกิดประโยชน์ต่อสาธารณะจริงๆ ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี