การที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการสร้างกติกา กำหนดการเลือกตั้งให้แต่ละพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในแต่ละเขตเลือกตั้ง มีหมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้งต่างกัน โดยอ้างว่าการเลือกตั้งแบบพรรคเดียวหลายเบอร์ จะทำให้การซื้อขายเสียงลดลงนั้น ไม่ทราบว่าเอาตรรกอะไรมาคิด
ทั้งนี้ในความเป็นจริง การซื้อสิทธิ์-ขายเสียงการเลือกตั้งในประเทศไทยนั้นมิได้เกิดขึ้นเฉพาะการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเท่านั้น การซื้อสิทธิ์-ขายเสียงในบ้านเมืองนี้มีเกือบทุกแห่งที่มีการเลือกตั้ง ไม่ว่าในหน่วยงานทั้งภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เนื่องจากสมาชิกองค์กรในที่ต่างๆ เป็นตัวการ สำหรับในส่วนราชการมีตั้งแต่เลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปจนถึงส่วนท้องถิ่นทุกระดับที่มีการเลือกตั้ง แม้แต่ การเลือกตั้งกรรมาธิการในรัฐสภา ก็มิได้ละเว้น
สำหรับพรรคการเมืองนั้น การซื้อสิทธิ์-ขายเสียงมีมาตั้งแต่มีการเลือกตั้งสมัยแรกๆ โดยเริ่มจากซื้อเสียงด้วยการแจกของ เช่น บุหรี่ซองหนึ่ง ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งหรือแจกของกิน เช่น ปลาทู ต่อมาจนถึงแจกเงินทอง ตั้งแต่ไม่กี่สิบบาทจนถึงร้อยบาทพันบาท ในระยะหลังมีการจัดตั้งหัวคะแนนก็แจกผ่านหัวคะแนน ในการประชุมรัฐสภาก็มีการแจกเงินผู้แทนราษฎรในห้องน้ำรัฐสภา เพื่อให้ผ่านกฎหมายที่ต้องการ จนในที่สุดซื้อพรรคการเมือง ซื้อตัวนักการเมือง ทั้งนี้เพราะสังคมไทยเงินเป็นใหญ่ ดังสุภาษิตที่ว่า “แข็งเท่าแข็งเงินง้างอ่อนได้ดังประสงค์”
สรุปรวมความว่า การแก้ปัญหาการเลือกตั้งด้วยวิธีดังกล่าว ไม่น่าจะได้ผลดังประสงค์ ในความเป็นจริงนั้น ต้องยอมรับว่าสังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยจอมปลอม ประชาชนส่วนใหญ่ยังยึดติดกับสังคม “อมาตยาธิปไตย” ในทางปฏิบัติอย่างไม่เปลี่ยนแปลง แม้ผู้ปกครองจะอ้างว่า สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยมากว่า 85 ปีแล้ว แต่เป็นเพียงตัวหนังสือเท่านั้น
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยแต่เพียงชื่อ สังคมไทยที่แท้จริงยังคงดำรงอยู่ซึ่ง “ลัทธิเจ้าขุนมูลนาย” ประชาชนส่วนใหญ่ยังยึดติดกับสังคมชนชั้น ได้แก่ ชนชั้นปกครองกับผู้ถูกปกครอง โดยเฉพาะลัทธิอมาตยาธิปไตย ข้าราชการเป็นใหญ่ ผู้มีเงินเป็นใหญ่ (แต่ก็กลัวเกรงต่ออำนาจ)
แม้ปัจจุบันคณะรักษาความสงบแห่งชาติซึ่งนำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ องค์อธิปัตย์ แม้พลเอกประยุทธ์จะพยายามใช้หลักประชาธิปไตยในการบริหารประเทศ และพยายามจะสร้างสังคมประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น โดยการสร้างกติกา คือ รัฐธรรมนูญให้สังคมไทยเดินสู่การเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ในความเป็นจริงเนื่องจากความไม่เคยพร้อมของประชาชนเพราะหลายเรื่องแม้เป็นกฎหมาย แต่ประชาชนและผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายก็มิได้ปฏิบัติตาม จนต้องใช้ม.44 ในหลายๆ เรื่อง ทั้งนี้เพราะประชาชนทุกภาคส่วนมิได้เกรงกลัวกฎกติกาแต่กลัวตัวบุคคลที่อำนาจ ทั้งๆ ที่ ในสังคมประชาธิปไตยนั้น ประชาชนจะเกรงกลัวกฎกติกา โดยไม่เกรงตัวผู้มีอำนาจ
สรุปรวมความว่า เรื่องการแก้ปัญหาการซื้อเสียงด้วยการให้ผู้สมัครเลือกตั้งแต่ละพรรคมีหลายเบอร์นั้นไม่ช่วยแก้ปัญหาการซื้อเสียง
การแก้ปัญหาเรื่องนี้มีวิธีเดียว คือ การสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนสำนึกในการรักษาสิทธิและหน้าที่ของตน
อย่างไรก็ดี ถ้าสถานการณ์เหมือนอย่างเดิมหลังเลือกตั้ง(ถ้ามี) ยากที่จะเป็นสังคมประชาธิปไตย และอำนาจการบริหารประเทศก็คงยากที่จะเหมือนยุค คสช. ในฐานะเป็นองค์อธิปัตย์ แม้พลเอกประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี