ตราบจนกระทั่งปัจจุบัน สาธารณชนก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบที่กระจ่างชัดจากผู้บริหารระดับสูงของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส หรือองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ในประเด็นการใช้เงินประมาณ 200 ล้านบาท ซื้อหุ้นกู้ของบริษัท ซีพีเอฟ จำกัด (มหาชน)
แม้เรื่องนี้จะจบลงด้วยการที่กฤษฎา เรืองอารีย์รัชต์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ ส.ส.ท. (องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย) เมื่อเดือนเมษายน 2560 แต่การลาออกของกฤษฎาก็มิได้หมายความว่าจะทำให้สิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้วกระจ่างชัดขึ้นมาแต่ประการใด
เพราะจนถึงทุกวันนี้ สาธารณชนก็ยังไม่สามารถรู้ได้ว่า ตกลงการซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นเรื่องผิดหรือถูก หากไทยพีบีเอสจะตอบถ้าเรื่องถูกต้อง เพราะมีการตั้งกรรมการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ก็มีคำถามตามมาว่า กรรมการตรวจสอบเรื่องนี้คือใคร มาจากไหน ใครเป็นผู้แต่งตั้งกรรมการชุดดังกล่าว แล้วกรรมการชุดที่ว่านั้นเป็นคนภายในหรือภายนอกองค์กร และที่สำคัญคือมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
ผู้เขียนได้ติดตามนำเสนอเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบหรือคำชี้แจงประการใดจากไทยพีบีเอส แต่มีเพียงผู้บริหารบางคนของไทยพีบีเอสบอกกับผู้เขียนว่า “หากมีเรื่องอะไรก็สามารถพูดคุยกันได้” แล้วก็มีคำบอกกล่าวว่า “กำลังพยายามแก้ปัญหาภายในองค์การฯอยู่ ขอเวลาสักหน่อย”
ข้อมูลล่าสุดที่ได้จากรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีของ ส.ส.ท. (พ.ศ. 2559) โดยเฉพาะจากรายงานของผู้สอบบัญชี โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่เสนอต่อผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หน้า 116 ระบุว่า
ประเมินความเหมาะสมของนโยบายการบัญชีที่ผู้บริหารใช้ และความสมเหตุสมผลของประมาณการทางบัญชี และการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องซึ่งจัดทำขึ้นโดยผู้บริหาร
สรุปเกี่ยวกับความเหมาะสมของการใช้เกณฑ์การบัญชีสำหรับการดำเนินงานต่อเนื่องของผู้บริหาร และจากหลักฐานการสอบบัญชีที่ได้รับ สรุปว่ามีความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญที่เกี่ยวกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่อาจเป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยในการดำเนินงานต่อเนื่องหรือไม่ ถ้าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ข้อสรุปว่ามีความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินต้องกล่าวไว้ในรายงานของผู้สอบบัญชีของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถึงการเปิดเผยที่เกี่ยวข้องในงบการเงิน หรือถ้าการเปิดเผยดังกล่าวไม่เพียงพอ ความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะเปลี่ยนแปลงไป ข้อสรุปของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินขึ้นอยู่กับหลักฐานการสอบบัญชีที่ได้รับจนถึงวันที่ในรายงานของผู้สอบบัญชีของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หรือสถานการณ์ในอนาคตอาจเป็นเหตุให้องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยต้องหยุดการดำเนินงานต่อเนื่อง
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้สื่อสารกับผู้มีหน้าที่ในการกำกับดูแลเกี่ยวข้องกับขอบเขตและช่วงเวลาของการตรวจสอบตามที่ได้วางแผนไว้ ประเด็นที่มีนัยสำคัญที่พบจากการตรวจสอบรวมถึงข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญในระบบการควบคุมภายในซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้พบในระหว่างการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ลงชื่อ นางสาวระพีพร เครือมา ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบการเงินที่ 20 นางสาวสุจิน สุขปลั่ง นักวิชาการตรวจเงินแผ่นดินชำนาญการ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกลุ่ม
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน วันที่ 25 เมษายน 2560
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องการตรวจสอบการใช้เงินของไทยพีบีเอส ก็คงจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่สำหรับคนที่ติดตามเรื่องการใช้เงินภายในไทยพีบีเอสที่ทำให้เกิดความกังขา ก็จะให้ความสนใจกับประเด็นการใช้เงินภายในองค์การฯ นี้เป็นอย่างมาก เพราะเงินดังกล่าวคือเงินที่มาจากภาษีอากรของแผ่นดิน ถึงแม้จะมาจากภาษีบาปก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ขอให้คุณผู้อ่านได้ย้อนกลับไปอ่านรายงานของผู้สอบบัญชี โดยสตง. อีกครั้ง แล้วพิจารณาให้ลึกว่ามีข้อความสำคัญอะไรที่ผู้สอบบัญชีพยายามบอกไว้
ผู้เขียนกำลังพยายามวิเคราะห์งบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของไทยพีบีเอส ที่นำเสนอในรายงานประจำปี 2559 แล้วจะนำมาเล่าสู่ให้คุณผู้อ่านได้รับทราบในสัปดาห์ต่อๆ ไป
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้อ่านโดยเบื้องต้นจากรายงานประจำปีฉบับล่าสุดของไทยพีบีเอส ผู้เขียนยังไม่พบรายการการซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ ซึ่งเข้าใจได้ว่างบบัญชีที่นำเสนอไว้นั้นอาจจะทำขึ้นมาก่อนจะมีการตัดสินใจซื้อหุ้นซีพีเอฟ
เท่าที่ได้พบข้อมูลจากรายงานประจำปี หน้า 154 ซึ่งปรากฏหน้าตา และชื่อ-สกุลของคณะกรรมการตรวจสอบของไทยพีบีเอส คือ คณะกรรมการตรวจสอบ ตามประกาศ ส.ส.ท. วันที่ 13 ธันวาคม 2559 (ชุดปัจจุบัน) ประกอบด้วย ลดาวัลย์ บัวเอี่ยม ประธานกรรมการ ส่วนกรรมการห้าคน ประกอบด้วย ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, ธีรภัทร สงวนกชกร,อังครัตน์ เพรียบจริยวัฒน์, พงศ์อดุลย์ กฤษณะราช ส่วนเลขานุการคือ ทวีศักดิ์ แช่มช้อย
ส่วนคณะกรรมการตรวจสอบของไทยพีบีเอส ชุดที่ตั้งขึ้นตามประกาศของส.ส.ท. วันที่ 18 ตุลาคม 2557 (ครบวาระไปเมื่อ 17 ตุลาคม 2559) ประกอบด้วยบุคคลชุดเดิมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกเว้น ปราณี ทินกร ประธานกรรมการที่พ้นภาระไปแล้ว
คำตอบที่สาธารณชนต้องการทราบคือ คณะกรรมการตรวจสอบของไทยพีบีเอสทั้งหมดได้ให้ความสำคัญกับการค้นหาความกระจ่างในเรื่องการซื้อหุ้นซีพีเอฟโดยในยุคที่กฤษฎา เป็นผู้อำนวยการไทยพีบีเอสบ้างหรือไม่แล้วได้พยายามทำความกระจ่างในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
ขณะเดียวกันสาธารณชนที่สนใจเรื่องนี้ก็ยังคงมีคำถามเดิมๆ เพราะยังไม่ได้ตอบที่ชัดเจนว่า คณะกรรมการนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย จุมพล รอดคำดี ประธานกรรมการ และกรรมการอีกแปดคน คือ ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, วิทยา กุลสมบูรณ์, ลดาวัลย์ บัวเอี่ยม, ไพโรจน์ พลเพชร, พิพัทธ์ ชนะสงคราม, รุ่งมณี เมฆโสภณ, พิเชฎฐ พัฒนโชติ และสุรพงษ์ กองจันทึก มีความเห็นอย่างไรในเรื่องการซื้อหุ้นซีพีเอฟ
แต่สาธารณชนคงอาจจะไม่อยากถามเรื่องนี้จากผู้อำนวยการไทยพีบีเอสคนล่าสุด ที่ชื่อวิลาสินี พิพิธกุล อดุลยานนท์ เพราะรู้ดีว่าเธอคือรองผู้อำนวยการคนหนึ่งในยุคที่กฤษฎารับหน้าที่ผอ.ไทยพีบีเอส ซึ่งมีการซื้อหุ้นซีพีเอฟ
ขอย้ำว่า สาธารณชนต้องการทราบความจริงที่กระจ่างชัดในเรื่องนี้ จะตอบว่าผิดหรือถูกอย่างไร ก็จำเป็นต้องบอกกล่าวให้สาธารณชนได้รับทราบอย่างเปิดเผย ให้สมกับคำอ้างที่บอกไว้ในสารประธานกรรมการนโยบายที่ระบุว่า การทำงานของทุกคนไทยไทยพีบีเอสจึงเป็นการทำงานด้วยจิตวิญญาณของความเป็นสื่อสาธารณะอย่างแท้จริง
เฉลิมชัย ยอดมาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี